tag:blogger.com,1999:blog-49208250975822354032024-03-12T19:47:01.722-07:00Tip computer Tip notebookรวมทิปต่างๆของคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คเอาไว้ที่นี้ ทั้งทิปแก้ไข ทิปปรับแต่ง ทิปซ่อมแซม ทิปอัพเกรด ทิปบำรุงรักษาfreewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comBlogger112125tag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-65895380566040431432011-08-18T07:07:00.000-07:002011-08-18T07:11:10.264-07:00Tip วิธีทำให้ firefox 6 สามารถใช้ idmในการโหลดได้<span style="color: #FFFF00">วิธีทำให้เจ้า Firefox 6 สามารถโหลดด้วย IDM ได้ครับ แฟนๆFirefox 6คงไม่พลาดกันแน่นอน</span>
<br />
<br /><span style="color: #FF0000">ก่อนอื่นให้ดาวน์โหลด Add-ons (ส่วนเสริม)</span> <span style="color: #FFFF00">idmmzcc.xpi</span> <span style="color: #FF0000">สำหรับ Firefox 6 มาก่อน</span>
<br />
<br /><span style="font-size:180%;"><a href="http://www.mediafire.com/?8p5y3z5xfpafydr" class="bbc_url" title="External link" rel="nofollow external"><span style="color: #FF00FF"><strong class="bbc">โหลดที่นี่</strong></span></a></span>
<br />
<br />
<br /><span class="bbc_underline"><strong class="bbc"><span style="color: #FF0000">วิธีติดตั้ง</span></strong></span>
<br /><span style="color: #FFFF00">
<br />1. เปิด Firefox ขึ้นมามองไปมุมบนสุดซ้ายมือคลิกที่ แฟ้ม > เปิดแฟ้ม > Browse หาไฟล์ idmmzcc.xpi ที่ดาวน์โหลดมา</span>
<br /><a href="http://www.cutetyclub.net/" class="bbc_url" title="External link" rel="nofollow external"> <img src="http://www.upthai.net/pictures/966a2146ef0a9c472f956ac598f0644e.jpg" alt="Posted Image" class="bbc_img" /></a>
<br />
<br /><span style="color: #FFFF00">2. คลิกที่ตัวไฟล์ idmmzcc.xpi ที่ดาวน์โหลดมา ( สังเกตนามสกุลจะเป็น .xpi ) แล้วคลิก Open</span>
<br />
<br /><a href="http://www.upthai.net/index2.php?out=http://www.upthai.net/show-image.php?id=10ffd8e6414cb23452359e84d6042e42" class="bbc_url" title="External link" rel="nofollow external"> <img src="http://www.upthai.net/pictures/f077180c69d188b4d5b62f9fbfa3f7b8.jpg" alt="Posted Image" class="bbc_img" /></a>
<br />
<br /><span style="color: #FFFF00">3. คลิกติดตั้งส่วนเสริม และเริ่ม Firefox ใหม่</span>
<br />
<br /><a href="http://www.cutetyclub.net/" class="bbc_url" title="External link" rel="nofollow external"> <img src="http://www.upthai.net/pictures/bd73fdf9054e84a25330319eac535f67.jpg" alt="Posted Image" class="bbc_img" /></a>
<br />
<br />
<br /><span style="color: #FFFF00">เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ ใช้ IDM ได้เหมือนเดิม</span>
<br />
<br /><span style="color: #FFFF00"></span><span style="color: #FF00FF">ขอขอบคุณเครดิต</span> <strong class="bbc"><span style="color: #98FB98"><span style="font-size: 17px;"><span style="font-family: Comic Sans MS">BY Kew4x4</span></span></span></strong> freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-26692405523647300832010-07-17T07:42:00.000-07:002010-07-17T07:57:40.445-07:00Tip รหัสคำสั่งต่าง ๆ ที่ทำงานในมือถือโนเกียและการ Format เครื่องมือถือ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8pBqXfveKsg27HC4uqPBCFLTU7qdF2gbeQN2k2EBL_UrxInPCRU6c9gRXyvoeuVlwWef7rvuFkywsnaJAWNqmPDZTMMgkvQamQV6bIVEIOaE8aRa-cgMFaTLUd6NXRKzY-_LraOzFJwWb/s1600/Format+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg"><img style="float: left; margin: 0pt 10px 10px 0pt; cursor: pointer; width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8pBqXfveKsg27HC4uqPBCFLTU7qdF2gbeQN2k2EBL_UrxInPCRU6c9gRXyvoeuVlwWef7rvuFkywsnaJAWNqmPDZTMMgkvQamQV6bIVEIOaE8aRa-cgMFaTLUd6NXRKzY-_LraOzFJwWb/s320/Format+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5494889314545056562" border="0" /></a><br /><br /><br />Tip รหัสคำสั่งต่าง ๆ ที่ทำงานในมือถือโนเกียและการ Format เครื่องมือถือ...<br />รหัส Code NOKIA<br /><br />รหัสคำสั่งต่าง ๆ ที่ทำงานใน มือถือโนเกีย โดยการกดปุ่ม ...<br /><br />*#06#<br />ตรวจสอบเลข IMEI ของเครื่อง<br /><br />*#0000#<br />ตรวจสอบเวอร์ชั่นของ Firmware<br /><br />*#92702689#<br />ตรวจสอบระยะเวลาในการใช้เครื่อง แต่ไม่สามารถใช้ใน symbian s'60<br /><br />*#2820#<br />ตรวจสอบ Bluetooth MAC Address<br /><br />*#7780#<br />การทำ Solf Reset คือการ Restores ini files จาก rom แต่ข้อมูลมนเครื่องจะไม่ถูกลบ<br />เมื่อทำการ Soft Reset ต้องกดรหัสป้องกัน 12345<br /><br />*#7370#<br />การทำ Hard Reset คือการ Re-format C: drive ข้อมูลทุกอย่างจะหายหมด<br />เมื่อทำการ Hard Reset ต้องกดรหัสป้องกัน 12345<br /><br />*#7370925538#<br />การลบข้อมูลทั้งหมดใน Wallet ต้องกดรหัสป้องกัน 12345<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOj2nFTW9gn5F_OumtCVQPJ4Nct8f-eosOHbUvHVdahyE-czppKorQrsVsjtmEnYhLJ-oeUIyfEeJ9JqiZkYUB-yIkO8d2iWWw9dTn_LbIXC0iIo6H9sACHCMkZrjjD4j6CqTluhMQiEnk/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg"><img style="display: block; margin: 0px auto 10px; text-align: center; cursor: pointer; width: 233px; height: 216px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOj2nFTW9gn5F_OumtCVQPJ4Nct8f-eosOHbUvHVdahyE-czppKorQrsVsjtmEnYhLJ-oeUIyfEeJ9JqiZkYUB-yIkO8d2iWWw9dTn_LbIXC0iIo6H9sACHCMkZrjjD4j6CqTluhMQiEnk/s320/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5494888977810110258" border="0" /></a><br /><span style="font-size:180%;"><span style="font-weight: bold;">การ Format เครื่องมือถือ</span></span><br />การ Format เครื่องที่ได้ผลอีกวิธีหนึ่ง แต่อันตรายเหมือนกัน<br />ก่อนทำการ Format ต้องแน่ใจก่อนว่าแบตเตอรี่ในเครื่องมีเกินครึ่ง หรือเต็มก่อนทำการ Format<br />ไม่เช่นนั้นเครื่องอาจเปิดไม่ติดต้องไปอัพ Firmware กันใหม่<br />การ Format Disk ทำได้ดังนี้<br />กดปุ่มปิดเครื่องพร้อมกดปุ่ม 3 + * + โทรออก ค้างไว้จนกระทั่งหน้าจอขึ้นคำว่า Format Disk<br />การ Hard Reset (สำหรับ Nokia ทุกรุ่นที่เป็น ซิมเบี้ยนนะครับ)<br /><br />เวลาที่เครื่องโทรศัพท์ค้างหรือข้อมูล error หรือโดนไวรัสเล่นงาน<br />ก็ให้ทำงี้ครับ :<br /><br />ท่านใดลงภาษาไทยไว้ เช่น SmartThai, PKeyPop, Thai9 , Dthaiหรือ ZThai ให้ทำการปิดโปรแกรม Disable หรือ Deactivate โปรแกรมเหล่านั้นออกไปก่อน.. เพราะถ้าไม่ทำการปิดโปรแกรม การ Hard Reset จะไม่เวิร์ค คือจะมีโปรแกรมต่างๆคงค้างอยู่ในเครื่องอีก<br /><br />- ถอด Memory Card หรือ MMC ออกเสียก่อน และต้องแน่ใจว่าท่านได้ Backup ข้อมูลสำคัญไว้แล้ว ในกรณีที่ต้องการเก็บไว้น๊ะครับ ไม่งั้นมันจะหายเกลี้ยง<br />- กด *#7370# เครื่องจะถามว่าชัวร์รึป่าว ให้เราตอบ yes<br />- เครื่องจะถาม Security Code (5 หลัก) ถ้าเป็นเครื่องที่ยังไม่เคยเปลี่ยนรหัส ค่าเดิมจะเป็น 12345 (แต่ถ้าใครเปลี่ยนไปแล้วก็จำกันเอาเองนะครับ)ให้พิมพ์ใส่เข้าไปแล้วกดตกลง เครื่องจะถามยืนยันและ Restart ให้.. รอสักครู่ประมาณ 30-40 วินาที<br />- เครื่องจะให้ตั้งเวลาและวันที่ใหม่ เสร็จขั้นตอนการ Hard Reset ท่านจะได้เครื่องใหม่ๆ พร้อมโปรแกรมมาตรฐานเหมือนออกมาจากโรงงานเลยครับ<br /><br />**มีเกล็ดเล็กน้อยอีกข้อนึงครับ ครือไวรัสจะติดมือถือได้ส่วนใหญ่จะผ่านทางบลูทูต หากว่าเราเปิดบลูทูตแล้วเดินอยู่ตามศูนย์การค้า ฯลฯ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนส่งอะไรไม่รู้มาให้เครื่องจะถามเราว่าจะรับไม๊ ถ้าเราดูแล้วไม่ใช่อุปกรณ์ของเราแน่ก็ตอบ NO ตัวโตๆไปเลยครับ อย่าไปรับสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเครื่องที่ติดไวรัสแล้ว<br />จะสแกนหาเครื่องอื่นต่อไปเองเรื่อยๆโดยเจ้าของเครื่องเองไม่รู้เลย<br /><br />ถ้าต้องการ H-reset จริงๆ แบบหมดจดนะครับ ให้ทำตามนี้<br /><br />- ให้ปิดเครื่องก่อน<br />- ให้กดปุ่ม [โทรออก] + [3] + [*]<br />(ปุ่มโทรออก + ปุ่มเลข3 + ปุ่มดาว พร้อมกันค้างไว้ด้วยนะครับ) แล้วกดปุ่ม power on ครับ<br /><br />คุณจะเห็นคำว่า Formating…. แล้วรอซัก 1 นาที เครื่อง format เสร็จแล้วจะ restart เครื่องอีกที คุณก็จะได้เครื่องที่เหมือนออกจากศูนย์เลยครับ......freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-43859212836069368772010-02-13T01:22:00.001-08:002010-02-13T01:40:10.389-08:00TIP การซ่อนโฟรเดอร์โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghzz5_WsMP2nW7iiU7iVfrBXDHHjEbuqpxnrQSaIRf7pOhrNFSLREWvY_vALblSUnHz7wS38dfoC5l5-RnUDvalU6akvrLfSIWCOTWrHRqubkVgrL9iLi55HEIhcd-5HRxLoNks-hHe9j3/s1600-h/thumbnailsho.jpg"><img style="float: left; margin: 0pt 10px 10px 0pt; cursor: pointer; width: 300px; height: 225px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghzz5_WsMP2nW7iiU7iVfrBXDHHjEbuqpxnrQSaIRf7pOhrNFSLREWvY_vALblSUnHz7wS38dfoC5l5-RnUDvalU6akvrLfSIWCOTWrHRqubkVgrL9iLi55HEIhcd-5HRxLoNks-hHe9j3/s320/thumbnailsho.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5437660037295396562" border="0" /></a><br />เริ่มกันโดยการคลิกขวาที่หน้าจอ>New>Folder>จะได้ Folder ใหม่หรือเลือก Folder ที่เราต้องการจะซ่อนครับ จากนั้นให้เปลี่ยนชื่อใหม่โดยคลิกขวา เลือก Rename จากนั้น ทำตามนี้เลยนะครับ<br />กดปุ่ม Alt ค้างไว้แล้วกดตัวเลข <span style="font-weight: bold; font-style: italic;">0160</span> แล้วปล่อยมือ<br />จะได้ชื่อที่เป็นช่องว่าครับ จากนั้นทำตามนี้เลยครับ<br />คลิกขวาที่ Folder ที่เราจะซ่อนกด>Properties>Customize>Change Icon...><br />ลองเลื่อนไปทางขวาดูจะพบช่องว่างติดกัน 3 ช่องให้เลือกช่องว่างช่องไหนก็ได้ครับ กด>ok>ok จบก็<br />จะทำให้ Folder ของเราล่องหนได้ครับ แต่ไม่ได้หายไปไหน มันแค่ไม่มีรูป Folder เท่านั้นครับ<br />ถ้า ต้องการเปิดก็แค่คลิกลากผ่าน Folder ที่เราทำล่องหนไว้ จะมีแถบสีเล็กขึ้น<br />แล้ว ก็ดับเบิลคลิกได้เลยครับ ที่นี้ซ่อนความลับสุดยอดก็ไม่มีโครรู้แล้วครับ<br />แต่จำให้ดีนะครับว่าวางไว้ตรงไหน เดิ๋ยวหาไม่เจอจะมาโทษผมไม่ได้นะครับ<br /><br />ง่ายๆครับลองทำดู.........freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-47050618703216053412010-01-15T04:19:00.000-08:002010-07-10T23:45:17.938-07:0010 สุดยอด Add-ons Firefox ประจำปี 2009-2010<a rel="nofollow" target="_blank" href="http://image.ohozaa.com/show.php?id=7c63c61012709162fcef557e07ceea71"><img src="http://image.ohozaa.com/if/20100114_114012.jpg" border="0" /></a>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-47615043208348119972009-10-18T19:34:00.000-07:002009-10-18T19:38:43.379-07:00Tip ตั้งเวลา ShutDown Restart Logoff อัตโนมัติใน XP<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPBdoedS200AOpVH4PD-pkb6TPRgN-C7yoMqjEg-0_rO7leVYF1bM6EMMz_kwzLT7-2BNc9X8-c8oMFot2sQhEXHDZ5Ll6y_A2vHmNgWJNaLx8nHejYXBdThylgyLaV9_T5J-4mGzcFlBy/s1600-h/shutdown_gptgadget.gif"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 300px; height: 225px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPBdoedS200AOpVH4PD-pkb6TPRgN-C7yoMqjEg-0_rO7leVYF1bM6EMMz_kwzLT7-2BNc9X8-c8oMFot2sQhEXHDZ5Ll6y_A2vHmNgWJNaLx8nHejYXBdThylgyLaV9_T5J-4mGzcFlBy/s320/shutdown_gptgadget.gif" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5394134908648624562" border="0" /></a><br />ถ้าเครื่องที่คุณใช้อยู่เป็นเครื่องที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเครื่อง พิมพ์ เวลาที่กลับบ้านไปแล้วก็ยังไม่สามารถปิดเครื่องได้ เพราะต้องเปิดเครื่องไว้ให้คนอื่นสั่งพิมพ์งาน หลายครั้งที่เพื่อนๆ ลืมปิดเครื่องคอมพ์ให้เรา จึงทำให้คอมพ์ถูกเปิดข้ามวันข้ามคืน<br />หลายคนกลัวเครื่องเสีย เลยไปหาโปรแกรมที่ช่วยปิดเครื่องโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าคุณไม่อยากไปหาโปรแกรมให้วุ่นวาย ก็อาจจะใช้โปรแกรม Scheduled Tasks ซึ่งมีมากับวินโดวส์อยู่แล้ว<br /><span style="color:red;">วิธีการคือ</span><br />1. ให้คลิก Start-> All Programs ->Accessories -> System Tools -> Scheduled Tasks<br />2. จากนั้นให้กดดับเบิ้ลคลิ้กที่ไอคอน Add Scheduled Tasks คลิ้กปุ่ม Next แล้วคลิ้กปุ่ม Browse และเข้าไปที่โฟลเดอร์ C:\Windows\System32 จากนั้นดับเบิลคลิ้กไฟล์ชื่อ shutdown.exe<br />3. กลับมาที่ Scheduled Task Wizard อีกครั้งให้ตั้งชื่อ Shutdown ที่ Perform this task คลิ้กเลือก Daily เพื่อกำหนดให้มีการ ShutDown อัตโนมัติเครื่องทุกๆ วัน แล้วคลิ้กปุ่ม Next<br />4. ให้ตั้งเวลาการ ShutDown ที่ช่อง Starttime ที่ Perform this task คลิ้กเลือก Every Day เพื่อให้ทำงานทุกวันที่ Start date ตั้งวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำงานให้คลิ้กปุ่ม Next<br />5. ตั้งรหัสผ่านขึ้นมาแล้วพิมพ์ลงในช่อง Enter the password และยืนยันรหัสผ่านอีกครั้งที่ช่อง Confirm password คลิ้กปุ่ม Next<br />6. ให้กดคลิ้กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Open advanced properties for this task when I click Finish จะปรากฏหน้าต่าง Shutdown ขึ้นมา ที่ช่อง Run ให้พิมพ์คำสั่ง -s -t 0ต่อท้าย C\Windows\system32\shutdown.exe เสร็จแล้วกดคลิ้กปุ่ม OK เมื่อถึงเวลาที่กำหนดก็จะ ShutDown เครื่องให้อัตโนมัติ<p></p> <p>แค่นี้ก็ได้การตั้งเวลา ShutDown แล้วแต่ผมจะอธิบายในคำสั่งอื่นๆเพิ่มเติมเผื่อ เพื่อนคนไหนจะนำไปประยุกต์ใช้ได้นะครับ<br />- โดยคำสั่ง Shutdown -s คือพารามิเตอร์สั่งปิดเครื่อง<br />- โดยคำสั่ง Shutdown -r คือพารามิเตอร์สั่ง restart เครื่อง<br />- โดยคำสั่ง Shutdown -l คือพารามิเตอร์สั่ง logoff เครื่อง<br />- โดยคำสั่ง Shutdown -m \\computername คือพารามิเตอร์ remote ไป Shutdown restart หรือ logoff เครื่องอื่นในวง Lan เรา<br />- โดยคำสั่ง Shutdown -t xx คือพารามิเตอร์ใช้ตั้งเวลาในแต่ละคำสั่งที่จะใช้หน่วยเป็นวินาที<br />- โดยคำสั่ง Shutdown -c “comment” คือพารามิเตอร์ให้ขึ้นข้อความก่อนที่จะทำการ Shutdown restart หรือ logoff ความยาวสูงสุด 127 ตัวอักษร<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJY-lKlprdf1csKN4xWcCW-iLrUEgfDp9DIEtDq3xTPjIr5TT_PQklllkku-fvHV2v41HNINAabU-c_Uc-ocfvMJDcDOYVlvybZTR93Q-P0w80bIyPG34IhYp3EcRt3ricAlD5YnTu8Fmd/s1600-h/Tos.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 320px; height: 286px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJY-lKlprdf1csKN4xWcCW-iLrUEgfDp9DIEtDq3xTPjIr5TT_PQklllkku-fvHV2v41HNINAabU-c_Uc-ocfvMJDcDOYVlvybZTR93Q-P0w80bIyPG34IhYp3EcRt3ricAlD5YnTu8Fmd/s320/Tos.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5394134469151432338" border="0" /></a><br /><br />- โดยคำสั่ง Shutdown -f คือพารามิเตอร์สั่งบังคับให้ทำตามคำสั่งที่เราสั่ง โดยไม่รอคำสั่งเตือนจากโปรแกรมที่เราเปิดอยู่</p> <p><span style="color:red;">ตัวอย่าง Shutdown ครับ</span><br />shutdown -s -t 10 -c “Will be ShutDown at 10 seconds”</p> <p><span style="color:red;">ข้อไม่แนะนำ<br />1 ไม่แนะนําให้ ใช้ ในระหว่างที่เครื่องกําลังประมวณผลโปรแกรม อยู่ครับ<br />2 ไม่แนะนำ ให้ ไปทําร้ายใครหรือแกล้งใครครับ</span></p>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-20211460134995685562009-09-08T06:04:00.000-07:002009-09-08T06:22:23.223-07:00Tip วิธีดูแลรักษาและเสริมพลังWindowsXPให้แรงเร็วแบบไร้สะดุด<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1uAVQSGlWw59lewRx_EJgFcGWmN9egm8dgD9OS1h7y1jXTY9aNnxGlr_dos0RYaqeUE9Z0ATULhg-izKnZlh48AaIxotDDm2M4EXSNBY5DAeVskKUKtNkVp19aX5q-z2hwVR7Hxcj8Z64/s1600-h/thumbnailshow230389.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 300px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1uAVQSGlWw59lewRx_EJgFcGWmN9egm8dgD9OS1h7y1jXTY9aNnxGlr_dos0RYaqeUE9Z0ATULhg-izKnZlh48AaIxotDDm2M4EXSNBY5DAeVskKUKtNkVp19aX5q-z2hwVR7Hxcj8Z64/s320/thumbnailshow230389.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5379085398546653394" border="0" /></a><br />ใช้งานWindowsXPอยู่ดีๆจู่ๆ วินโดวส์กลับทำงานได้อืดลงเรื่อยๆ จนเปิดดูข้อมูลในโฟลเดอร์ได้ช้ากว่าที่เคยเป็น หรือความเร็วในการสูบไฟล์ทอเร้นต์ตกฮวบลงมาเอาดื้อๆ ซึ่งบางทีก็อาจเป็นปัญหาทางเทคนิคอย่างชุมสายมีปัญหา หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นปัญหาที่มาจากวินโดวส์ของคุณเองเข้าก็ได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเสียหรอกนะครับ) ซึ่งถ้าเป็นปัญหาอย่างหลังนี้ละก็ มีวิธีเสริมพลังเด็ดๆ มาแนะนำให้คุณสำหรับพาวเวอร์อัพวินโดวส์เอ็กซ์พี ให้แรงเร็วแบบไร้สะดุดสำหรับการใช้งานโดยเฉพาะเลยครับ<br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">ปรับแต่งวินโดวส์ XP ให้สดใสว่องไวเหมือนใหม่</span><br /><br />เมื่อ เราใช้งานคอมพิวเตอร์ไปนานๆ เข้าก็คงเริ่มรู้สึกได้ทันทีว่าการทำงานของมันเริ่มจะอืดขึ้นเรื่อยๆ ดีไม่ดีคุณจะพบว่ามันอืดกันตั้งแต่ช่วงเปิดเครื่องเพื่อโหลดเข้าหน้าต่าง วินโดวส์กัน<br />เลยทีเดียว อันที่จริงแล้วอาการช้าของมันที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่นั้นก็มาจากการใช้งานอันหนักหน่วงข<br />องยูสเซอร์นี่เอง<br /><br />ไม่ ว่าจะเป็นการลงโปรแกรมใหม่ๆ อัดเข้าไปเยอะแยะ การสั่งใช้งานให้โปรแกรมรันบน System Tray แบบเงียบๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว ไฟล์ขยะที่หลงเหลือจากการทำงานหรือการท่องอินเทอร์เน็ต ไม่ก็เปิดเอฟเฟ็กต์บนวินโดวส์ไว้เต็มอัตราศึกโดยไม่จำเป็น ฯลฯ ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นเพียงส่วนย่อยเพียงหยิบมือของสาเหตุที่ทำให้วินโดวส์ ทำงานช้า<br />ลง ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าครับว่าต้องทำอย่างไรบ้างวินโดวส์ตัวเก่งของเราจึงจะกลับมาแ<br />รงเร็วเหมือนใหม่กันอีกครั้ง<br /><br />1.เพิ่มพื้นที่ว่าง (ไว้หายใจ) ให้ฮาร์ดดิสก์<br /><br />สิ่ง ที่หลายคนลืมนึกถึงกันก็คือเรื่องใกล้ตัวอย่างพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ครับ ยิ่งมีพื้นที่เหลือไว้มาก การทำงานของวินโดวส์ก็จะไวขึ้นตามไปด้วย อย่าลืมครับว่าวินโดวส์นั้นทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์หลายอย่าง ทั้งการใช้เป็นพื้นที่หน่วยความจำเสริมชั่วคราว (เมื่อแรมไม่พอ) ใช้เป็นที่จัดเก็บ System Restore สำหรับป้องกันเวลาวินโดวส์มีปัญหา และเรื่องจุกจิกอีกมากมาย ดังนั้นการเคลียร์ขยะและโปรแกรมใช้งานที่ไม่จำเป็นออกไปจากฮาร์ดดิสก์จะช่วย ให้การทำ<br />งานของวินโดวส์ไหลลื่นมากขึ้นซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีดังต่อไปนี้ครับ<br /><br />ไป ยัง Start Menu-> All Programs-> Accessories-> System Tools-> Disk Cleanup เพื่อให้โปรแกรมคำนวณหาค่าพื้นที่ฮาร์ดดิสก์คร่าวๆ ที่คุณจะได้คืนมาจากการลบไฟล์ขยะและโปรแกรมพื้นฐานบนวินโดวส์ที่ไม่จำเป็น กับคุณ เช่นไฟล์ Temporary หรือขยะใน Recycle Bin โดยสามารถเลือกลบไฟล์และโปรแกรมได้จากหน้าต่าง Disk Cleanup นี้เลย<br />ลบ ไฟล์ขยะโดยไปที่ Start Menu-> Run พิมพ์ %temp% กดปุ่ม ok จะเห็นว่ามีไฟล์ขยะยั้วเยี้ยไปหมดดังนั้นจัดการลบมันทิ้งไปจากโฟลเดอร์นี้ ให้เรียบอา<br />วุธซะ (ก่อนลบให้แน่ใจว่าไม่ได้เปิดโปรแกรมอะไรอยู่ด้วยนะครับ)<br />ลบ โปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกไปจากเครื่องบ้างโดยไปที่ Start Menu-> Control Panel-> Add or Remove Programs แล้วลองตรวจดูว่าคุณมีโปรแกรมไหนบ้างที่ลงไว้แล้วไม่ได้แตะมันเลย ลบไปบ้างครับอย่าเสียดายโดยใช่เหตุ (ผมเห็นเพื่อนผมมันลงโปรแกรมดูหนังไว้สองสามตัวแต่เปิดใช้บ่อยแค่ตัวเดียว ... เพื่ออะไรเนี้ย -*-)<br /><br />ปรับลดพื้นที่ของ System Restore โดยคลิ้กขวาที่ไอคอน My Computer บนเดสก์ทอปเลือกเมนู Properties-> System Restore จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม Settings เพื่อปรับลดขนาดพื้นที่ซึ่งวินโดวส์จองไว้บนฮาร์ดดิสก์ให้ลดลงมาประมาณที่ 4 – 5 เปอร์เซ็นต์ (จาก 12 เปอร์เซ็นต์) ความจริงจะปิดการทำงานของมันไปเลยก็ได้เพราะจะได้พื้นที่คืนมาเยอะแยะเลย แต่ไม่แนะนำครับ<br />ลบโปรแกรมที่มาพร้อมกับวินโดวส์ XP ออกไป เนื่องจากโปรแกรมที่มากับตัววินโดวส์นั้นจะไม่มีรายการใน Add Remove เพราะถูกซ่อนเอาไว้ ดังนั้นเราต้องไปลากมันออกมาโดยไปที่ Start-> Setting-> Control Panel-> Folder option เลือกแท็บ view แล้วติ้กเลือก show hidden files... เพื่อให้วินโดวส์โชว์ไฟล์ที่ซ่อนไว้<br />จาก นั้นไปที่ Start-> Run พิม inf หาไฟล์ sysoc.inf ดับเบิลคลิ้กเปิด notepad แล้วมองหาโปรแกรมที่ต้องการลบ เมื่อเจอให้ลบคำว่า hide ออกไป (เฉพาะโปรแกรมที่ต้องการลบ) เสร็จแล้วจัดการเซฟ สุดท้ายไปที่ Add Remove เพื่อลบมันออกไป<br />ปรับขนาดของถังขยะ Recycle Bin เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งาน โดยคลิ้กขวาที่ถังขยะ เลือกไป Propoties ปรับตรงเปอร์เซ็นต์ (จากเดิมคือ 20%) ปรับเป็น 4 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถเพิ่มพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ได้ถึง 16 เปอร์เซ็นต์เชียวครับ<br />สุดท้ายเป็นการลบขยะในรีจีสทรีซึ่งเป็นไฟล์ของระบบที่มีการเก็บค่าการลงทะเบียนหรือค<br />่าตั้ง ต้นต่างๆ ของโปรแกรมที่ติดตั้งลงในเครื่อง ในเวลาที่คุณลบโปรแกรมออกไปบางครั้งมันจะยังมีสิ่งหลงเหลือฝากไว้ เมื่อผ่านไปนานเข้าจะทำให้รีจีสทรีมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ<br />ขยะเหล่านั้น จะส่งผลให้เครื่องทำงานช้าลง หากลบออกก็จะช่วยลดเวลาในการอ่านรีจีสทรี ของวินโดวส์ลงด้วย แต่การแก้ไข รีจีสทรีเป็นสิ่งที่ค่อนข้างอันตรายสำหรับมือใหม่ ถ้าลบผิดไปละก็อาจทำให้ถึงกับบูตเครื่องไม่ติดเลยก็เป็นได้ ดังนั้นทางที่ดีใช้โปรแกรมช่วยจะลดการเสี่ยงได้มากกว่าครับ โดยใช้ Easy Cleaner (http://www.docsdownloads.com/download/EClea2_0.exe) ขนาด 2.81 เมกะไบต์<br />เปิด โปรแกรม Easy Cleaner 2.0 ขึ้นมาแล้วเลือกไอคอนรีจิสทรี จากนั้นคลิ้กปุ่ม Find เพื่อค้นหาขยะในรีจิสทรีที่เหลือติดค้างอยู่แล้วรอโปรแกรมค้นหาสักพัก จากนั้นกดปุ่มลบทิ้งให้หมดเป็นอันเสร็จ<br />2. สวยน้อยหน่อย เร็วขึ้น (อีก) หน่อย<br /><br />ถึง แม้ว่าวินโดวส์เอ็กซ์พีจะมีอินเทอร์เฟซและเอฟเฟ็กต์สวยงามสู้วิสต้าไม่ติด ฝุ่น แต่มันก็สามารถทำให้เครื่องคุณอืดได้อยู่ดี (แต่ก็น้อยกว่าวิสต้าละ...) ทว่ามีเอฟเฟ็กต์หลายๆ ตัวที่ดูไม่จำเป็นนักเพราะถ้าไม่สังเกตกันดีๆ ก็แทบมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้นเราจะมาปิดมันลง ณ บัดนาว<br /><br />คลิ้กขวาที่ไอคอน My Computer เลือกเมนู Properties-> Advanced ตรงหัวข้อ Performance คลิ้ก Settings ทีนี้สังเกตดูจะเห็นว่ามี 4 หัวข้อหลักสำหรับปรับแต่งเอฟเฟ็กต์ 1. Let Windows choose what's best for my computer การให้วินโดวส์เลือกฟังก์ชันที่เหมาะสมกับเครื่องของคุณเองอัตโนมัติ 2. Adjust for best appearance สั่งปรับเอฟเฟ็กต์ทั้งหมดแบบสวยเต็มสูบ (แต่อาจทำให้การทำงานช้าลงบ้างสำหรับเครื่องสเปกต่ำ 3. Adjust for best performance เป็นการสั่งปรับให้ลดความสวยลงเพื่อเน้นการทำงานที่รวดเร็ว และ 4. Custom เอาไว้ปรับแต่งเพิ่มลดเอฟเฟ็กต์กันเอาเอง<br />3. ย้ายหน่วยความจำเสมือน ลดภาระไดร์ฟระบบ<br /><br />ไดรฟ์ ระบบ (ไดรฟ์ที่ลงระบบปฏิบัติการวินโดวส์) จะเป็นไดรฟ์ที่ต้องรับภาระหนักทั้งการเรียกใช้โปรแกรมต่างๆ หรือกระทั่งไฟล์ระบบ อีกทั้งยังต้องเผชิญปัญหาเรื่องข้อมูลที่กระจัดกระจาย (Fragment) ซึ่งเกิดจากการที่ไดรฟ์มีการอ่านเขียนข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าการทำงานจะยิ่งช้าลงเรื่อยๆ หากคุณไม่จัดเรียงข้อมูลให้กับมันบ้าง (Defragment) เพื่อให้สามารถเรียกอ่านข้อมูลได้ไวขึ้น และถ้าจะให้ดีก็ควรย้าย Pagefile (ซึ่งมีการอ่าน-เขียนไฟล์บ่อยๆ) ไปไว้ยังไดรฟ์อื่นที่ไม่ใช่ไดรฟ์ระบบเพื่อเป็นการลดภาระลงและช่วยให้การทำ งานรวดเร็ว<br />ขึ้น<br /><br /><br />คลิ้กขวาที่ไอคอน My Computer เลือกเมนู Properties-> Advanced-> Performance กด Settings ตรงแท็บ Advanced หัวข้อ Vitual Memory เลือกคลิ้กปุ่ม Change เลือกไดรฟ์ C: จากนั้นคลิ้กเลือกที่ No paging file แล้วกดปุ่ม Set เพื่อลบค่าที่ตั้งไว้<br />เลือก ไดรฟ์อื่นที่คุณจะใช้จัดเก็บ Pagefile แทน (เช่น D:, E:, F) กดเลือก Custom size ปรับขนาดให้เหมาะสมทั้งค่า Initial size และ Maximum size จากนั้นกดปุ่ม Set เพื่อตั้งใช้ค่าที่ระบุลงไป<br />การตั้งค่า Initial size และ Maximum size ที่เหมาะสมนั้นให้คุณดูจากแรมที่มีในเครื่องของคุณเป็นหลักครับ หากว่ามีแรมน้อยกว่า 512 ให้เอาความจุแรมไปคูณกับ 1.5 เช่น แรม 256 จะเท่ากับ 256*1.5 = 384 ซึ่ง Initial size จะใส่ไป 256 ส่วน Maximum size เป็น 384 ยกเว้นว่าคุณมีแรมมากกว่า 512 อันนี้ให้ใส่ค่าแรมลงไปที่ Initial size ได้เลย ดังในรูปตัวอย่าง เครื่องผมมีแรมอยู่ 2 กิกะไบต์ = 2046 ดังนั้นค่า Maximum size ผมจะบวกเพิ่มไป 1 เท่าคือ 4092 นั่นเอง<br />การจัด เรียงไฟล์จะช่วยให้ระบบทำงานเร็วขึ้น Paging file ก็เหมือนกันครับ แต่ Defragment ของ Windows จะไม่สามารถจัดเรียงไฟล์ Paging file ได้ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับมันโดยเฉพาะ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://download.sysinternals.com/Files/PageDefrag.zip ครับ (ขนาด 70 กิโลไบต์)<br /><br />การ ใช้งานนั้นไม่ยากเย็นเลย เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาผมแนะนำให้คุณติ๊กเลือกไว้ที่ Defragment at next boot เพื่อสั่งให้มัน Defragment แบบอัตโนมัติเมื่อบูตเข้าวินโดวส์ครั้งถัดไป<br /><br />4. รีดเค้นประสิทธิภาพหน่วยประมวลผลสำหรับคอเกม<br /><br />ปกติ แล้วสำหรับคอเกมเครื่องคอมพ์ที่ใช้ก็มักจะต้องเร็วแรงอยู่พอสมควร (สำหรับยุคนี้และยุคถัดๆ ไป...) แต่ใช่ว่าคอเกมจะซื้อคอมพ์มาเพื่อเล่นแต่เกมโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอก็คือ พวกเขามักจะโหลดบิต ไม่ก็เปิดโน่นเปิดนี่ทิ้งไว้ไปด้วยในขณะที่เล่น และส่วนมากก็มักจะเป็นโปรแกรมประเภทที่สามารถรันได้ในโหมดแบ็กกราวนด์ (อย่างโปรแกรมแอนติไวรัส) ซึ่งแน่ละ มันต้องดึงประสิทธิภาพหน่วยประมวลผลไปพอสมควรและอาจเป็นสาเหตุให้เกมที่เล่น มีอาการก<br />ระตุกเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราจะมาดูวิธีสั่งให้หน่วยประมวลผลทุ่มพลังเต็มที่กับการทำงานให้กับงานหรือส<br />ิ่ง ที่คุณกำลังทำอยู่ในขณะนั้นโดยไม่ต้องไปวุ่นวายกับเรื่องอื่นที่ไม่จำเป็น กันครับ (แต่จริงๆ แล้วถ้าไม่จำเป็นมากนัก ควรปิดโปรแกรมที่ยังไม่จำเป็นลงไปก่อนเล่นจะดีที่สุดละครับ)<br /><br />ไปที่เมนู Start-> Run พิมพ์คำสั่ง Rundll32.exe advapi32.dll, ProcessIdleTasks แล้วกด OK<br />เปิด การทำงานของ L2 Cache ซึ่งก็คือหน่วยความจำสำรองระดับที่ 2 ซึ่งตามปกติจะมีไว้สำหรับแก้ปัญหาเรื่องคอขวด โดยทำหน้าที่เก็บข้อมูล คำสั่งที่จำเป็นต่อการประมวลผล (หรือคาดว่าจะถูกใช้งาน) ทำให้หน่วยประมวลผลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้ซีพียูโดยปรับขนาดของ Cash L2 ที่เหมาะสมได้โดย คลิ้กที่ Start-> Run พิมพ์คำว่า regedit แล้วคลิ้กปุ่ม OK<br />ไปที่ HKEY_LOCAL_MACHIN-> SYSTEM-> CurrentControlSet-> Control-> Session Manager-> Memory Management ตรงหน้าต่างด้านขวา ให้คลิ้กขวาที่ SecondLevlData... เลือกคำสั่ง Modify<br /><br />ที่หน้าต่าง Edit DWORD Value ตรงหัวข้อ Base ติ๊กเลือก Decimal จากนั้นไปที่หัวข้อ Value data : ใส่ค่าให้กับ Cache L2 ซึ่งตรงนี้อาจต้องดูจากคู่มือเมนบอร์ดหรือซีพียูว่ามีค่า Cache L2 เท่าไร ก็ใส่ค่าลงไป เช่น 256 หรือ 512 เป็นต้น แต่ถ้าหาไม่ได้คงต้องดาวน์โหลดโปรแกรม CPU-Z เพื่อดูค่าเอาเอง โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.cpuid.com/<br />เมื่อ ดาวน์โหลดมาเรียบร้อยให้คลายซิปแล้วเข้าไปดับเบิลคลิ้กที่ไอคอน cpuz.exe จากนั้นรอสักพักหน้าต่างแสดงผลจะเปิดขึ้นมา ให้คุณตรวจดูที่หัวข้อ Cache โดยดูที่ Level 2 ก็จะเห็นค่าของมัน (ดังในภาพ ของผมจะอยู่ที่ 512) จากนั้นเอาค่านี้มาใส่ลงไปที่ Value data : แล้วกด Ok แล้วรีสตาร์ตวินโดวส์เป็นอันเรียบร้อยครับ<br /><br />5. Cleanup เซอร์วิสและสตาร์ตอัพโปรแกรม<br /><br />สำหรับ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้นและระดับกลางส่วนใหญ่ อาจมีไม่น้อยเลยที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองต้องเสียทรัพยากรในการประมวลผลให้กับ โปรแกรมไ<br />ร้สาระอยู่ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องโดยที่ไม่เคยได้ใช้งานมันเลย สักครั้งเดียว นั่นก็คือพวกโปรแกรม Services ต่างๆ ของวินโดวส์ที่มักจะรันตัวเองอยู่ตลอดเพื่อเตรียมรับมือกับคำสั่งใช้งานของ คุณ (ซึ่งอาจไม่เคยมี) ถึงแม้จะมี Services บางตัวที่จำเป็นต่อการใช้งาน แต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ดังนั้นเรามาดูวิธีปิดการทำงานของ Services ที่เกินความจำเป็นเหล่านี้กันครับ<br /><br />เปิด Control Panel ขึ้นมา เลือกไอคอน Administrative Tools-> Services จะเห็นลิสต์รายชื่อของ Services อยู่เต็มไปหมด<br />คุณ สามารถอ่านคำอธิบายการทำงานของมันได้ที่ Description ซึ่งจะช่วยให้ทำความเข้าใจความสำคัญของ Services แต่ละตัวได้เป็นอย่างดีว่าควรที่จะปิดมันไว้หรือไม่ และตัวไหนที่กำลังทำงานอยู่ (ดูจาก Status) เช่นพวก Printer, Broadband Connection, Networking หรือ routing<br />Services อันไหนที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ให้ปิดมันลงไปโดยการดับเบิลคลิ้กที่ Services ตัวนั้นๆ เพื่อเปิดหน้าต่างกำหนดค่าขึ้นมา โดยปรับได้ตรงดรอปดาวน์เมนูที่หัวข้อ Startup Type เลือก Disable คลิ้ก Apply และ OK ทำแบบนี้กับ Services ที่ต้องการปิดจนครบก็เรียบร้อย<br /><br /><br />นอก จากโปรแกรม Services แล้ว พวกโปรแกรมที่รันตัวเองอัตโนมัติหลังเปิดหน้าต่างวินโดวส์ที่เรียกกันว่า Startup Programs ก็จัดเป็นตัวหน่วงชั้นแนวหน้าที่ทำให้เครื่องคุณช้าลง ดังนั้นต้องจัดการมันเสีย<br />ไปที่ Start-> Run พิมพ์คำสั่ง msconfig แล้วกดปุ่มเอ็นเทอร์เพื่อเปิดหน้าต่าง System Configuration Utilty ให้ไปยังแท็บ Startup คลิ้กที่ Disable All<br />คลิ้ก Apply ตามด้วย OK แล้วคลิ้ก Yes เพื่อ Restart เครื่อง<br />6. เร่งพลัง RAM ทุกรูขุมขน<br /><br />การจัดสรรการทำงานของแรมซึ่งเป็นหน่วยความจำหลักเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถ<br />ใช้ งานโปรแกรมหรือแม้แต่เล่นเกมที่สูบสเปกสูงๆ ได้ราบรื่นมากขึ้น ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะมาเสริมพลังให้มันทำงานได้อย่างราบรื่น มากขึ้น ด้วยโปรแกรม Cacheman 5.50 ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.outertech.com/index.php?_charisma_page=downloads (927 กิโลไบต์) โดยเลือกชื่อโปรแกรมจากดรอปดาวน์เมนูและทำตามขั้นตอนไปจนครบ 3 สเต็ปเท่านี้ก็ดาวน์โหลดได้แล้ว จากนั้นติดตั้งให้เรียบร้อยและรันโปรแกรมขึ้นมาเลยครับ<br /><br />ตรงแถบไอคอน เมนู Settings ด้านขวาคลิ้กเลือก RAM จากนั้นตรงแท็บ Recovery ที่หัวข้อ Memory amount คลิ้กที่ User defined แล้วใช้เมาส์เลื่อนแถบสไลด์บาร์มาไว้ด้านขวามือสุด พร้อมทั้งเอาเครื่องหมายถูกออกจากกรอบสี่เหลี่ยมด้านล่างให้หมด ยกเว้นที่ช่อง Extreme recovery mode<br /><br />คลิ้กเลือกแท็บ Optimization ติ้กเครื่องหมายถูกตรง Disable executive paging และ Unload DLL's from memory<br /><br />ไปที่เมนู File เลือก Save setting คลิ้ก Yes แล้วรีสตาร์ตเครื่อง<br />หลัง จากรีสตาร์ตเครื่องแล้ว เวลาจะใช้งานให้เรียกเปิดโปรแกรม มันจะรันอยู่บน System Tray จัดการคลิ้กขวาที่ไอคอนโปรแกรมแล้วเลือกคำสั่ง Recover Memory Now โปรแกรมจะจัดสรรหน่วยความจำตามค่าที่ตั้งเอาไว้ให้ทันที<br /><br /><br />ลักษณะอาการเสียของเครื่องคอมพิวเตอร์ เราสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มอาการ ดังนั้นในการตรวจหาสาเหตุของอาการเสีย ก็ให้ดูว่าเป็นอาการเสียที่อยู่ในกลุ่มใดดังนี้<br /><br />1. ตรวจสอบอาการเสียของเครื่องจากเสียง Beep Code<br /> ทุก ๆ ครั้งที่คุณเปิดใช้งานเครื่องครั้งแรก ก็จะได้ยินเสียง ปี๊ป ดังสั้น ๆ 1 ครั้ง แล้วเครื่องก็จะทำงานต่อตามปกติ แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณได้ยินสียงมากกว่า 1 ครั้ง หรือมีเสียงดังยาว ๆ จากนั้นเครื่องก็หยุดนิ่ง ก็ทำใจไว้ได้เลยว่าเครื่องของคุณมีปัญหาแล้ว เมื่อคุณเจออาการแบบนี้ให้รีบปิดเครื่องทันที เพราะตราบใดที่เครื่องยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะไม่สามารถใช้งานเครื่องได้จนกว่าจะแก้ปัญหาเสียก่อน เสียงปี๊ปที่เราได้ยินนี้จะถูกเรียกว่า Beep Code ซึ่งจะมีจำนวนครั้งไม่เท่ากัน และมีเสียงดังสั้นบ้างยาวบ้าง ลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันนี้เองที่บอกเราว่า อุปกรณ์ชิ้นไหนมีปัญหา ดังนั้นถ้าเจอปัญหาลักษณะนี้ก็ต้องลองฟังให้ดีว่า ดังกี่ครั้ง สั้นยาวแบบไหน แล้วนำไปเทียบดูในตารางไบอสตามยี่ห้อของไบออส เพื่อจะรุ้ว่าอะไรคือต้นเหตุ แล้วจะได้หาทงแก้ไขต่อไป<br /><br />2. ตรวจสอบอาการเสียของเครื่องโดยดูจากข้อความที่แจ้งบนหน้าจอ<br /> การแจ้งปัญหาหรือความผิดปกติที่เครื่องตรวจพบด้วยข้อความบนหน้าจอ ซึ่งเราเรียกว่า Message Error นับป็นการแจ้งปัญหาอีกแบบหนึ่งที่มีประโยชน์ เพราะเราสามรถรู้ปัญหาได้ทันทีว่าอปกรณ์ตัวไหนทำงานผิดปกติ หรือไม่ก็รู้ว่าการทำงานส่วนใดมีปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาที่ง่ายขึ่น ตัวอย่างของข้อความที่ปรากฎให้เห็นบนหน้าจอบ่อย ๆ อย่างเช่น<br />CMOS checksum Error<br />CMOS BATTERY State Low<br />HDD Controller Failure<br />Diskplay switch not proper<br />ดังนั้นถ้าคุณพบว่าเครื่องได้แจ้งปัญหาให้ทราบก็ให้รับหาทางแก้ไขโดยด่วน แต่ถ้าไม่สามารถแก้ไขได้ก็ให้จดข้อความบนหน้าจอไว้ เพื่อเอาไว้สอบถามผู้ที่สามารถให้คำแนะนำได้หรือเอาไวให้ช่างที่ร้านซ่อมดู ก็ได้ เพื่อให้การตรวจซ่อมทำได้เร็วขึ้น<br /><br />3. ตรวจสอบอาการเสียโดยดูจากความผิดปกติของเครื่องที่สามารถสังเกตุ<br />วิธีนี้คงต้องใช้ทักษะ ความรู้ และความชำนาญมากกว่า 2 แบบแรก เพราะจะเป็นอาการที่เครื่องไม่ได้มีอะไรแจ้งให้เราทราบเลยว่าอุปกรณ์ชิ้นไหน มีปัญหาหรือเสียหาย มีแต่ความผิดปกติที่เราสามารถสังเกตุได้ทางกายภาพ อย่างเช่น เปิดสวิตซ์แล้วไฟไม่ติด , เสียบปลั๊กแล้วเครื่องก็เปิดทันที , เปิดใช้เครื่องได้ไม่ถึง 5 นาที ระบบก็ล่ม เป็นต้น จะเห็นว่าอาการดังกล่าวนี้เครื่องไม่ได้แจ้งอะไรให้เราทราบเลยนอกจากอาการ ผิดปกติที่เรารับรู้ได้ ดังนั้นในการแก้ปัญหาในลักษณะนี้จึงจะต้องอาศัยผู้ที่มีประสบการณ์หรือช่าง ผู้ชำนาญ จึงจะสามารถวิเคราะห์ตรวบสอบ และทำการซ่อมแซมแก้ปัญหาได้<br /><br />4. ตรวจสอบอาการเสียที่เราสามารถระบุอุปกรณ์ได้เลย<br />ปัญหาแบบนี้จะเป็นกับอุปกรณ์ที่เราใช้อยุ่เป็นประจำแต่ถ้าอยุ่ ๆ ไม่สามารถทำงาน หรือทำงานได้ไม่ดี เราก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเสีย อย่างเช่น ไดรว์ซีดีรอมไม่ทำงาน ภาพบนจอสั่นหรือกระพริบ ไดรว์ A ไม่ยอมอ่านแผ่น เป็นต้น จะเห็นว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ๆ โดยตรง การตรวจสอบหรือตรวจเช็คจึงทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือน 3 แบบที่ผ่านมา<br /><br />5. ตรวจสอบอาการเสียที่เกิดจากการอัพเกรดอุปกรณ์ ไปจนถึงการปรับแต่งเครื่อง<br />สิ่งที่ทำให้เครื่องเกิดปัญหาอีกอย่างก็คือ การเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนหรือปรับแต่งอุปกรณ์บางตัวก็ทำไห้เกิดปัญหาได้อีกเหมือนกัน เช่น อัพเกรดแรมแล้วเครื่องแฮงค์ Overclock ซีพียูจนไหม้ , ปรับ BOIS แล้วเครื่องรวน เป็นต้น จะเห็นว่าในสภาพเครื่องก่อนกระทำใด ๆ ยังทำงานได้ปกติอยุ่ แต่หลังจากที่มีการอัพเกรดหรือปรับแต่งเครื่องแล้วก็มีปัญหาตามมาทันที......freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-50146993708904118092009-08-31T06:47:00.000-07:002009-08-31T06:56:05.900-07:00Tip Firefox รวมKeyboard Shortcutsเจ๋งๆในการใช้ Firefox<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOe8hyoxo2fSHGHOLopUCet64tUpwFiaj9RwmIUXLA2XwUwQEXG5AHio1FTcwPFK8oBMTtVKTD5LeJleeAoBv5HufOEwgcPa5EqjVTqmY1qVPfroybIFjXCyFfnqMn4mx1rZrRvloz0RLE/s1600-h/speed_up_firefox_301_1.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 172px; height: 124px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOe8hyoxo2fSHGHOLopUCet64tUpwFiaj9RwmIUXLA2XwUwQEXG5AHio1FTcwPFK8oBMTtVKTD5LeJleeAoBv5HufOEwgcPa5EqjVTqmY1qVPfroybIFjXCyFfnqMn4mx1rZrRvloz0RLE/s320/speed_up_firefox_301_1.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5376126185377237986" border="0" /></a><br /><p>firefox เป็นอีกหนึ่งเบราเซอร์ที่เป็นที่นิยมในหมู่นักเล่นอินเตอร์เน็ต นักท่องเว็บทั้งหลาย(รวมทั้งผมด้วย) เพราะไฟร์ฟ๊อกซ์เป็นโปรแกรมเบราเซอร์ฟรี ที่ให้ผู้ใช้หรือนักพัฒนา สามารถพัฒนา plug-ins, add-ons และ extensions ส่วนขยายต่างๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการใช้งาน และเล่นอินเตอร์เน็ตได้อย่างดีทีเดียว และเพื่อเป็นการช่วยให้การใช้งานไฟร์ฟ๊อกซ์เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ วันนี้ผมจะมาแนะนำ Keyboard Shortcuts บน Firefox ที่สาวกไฟร์ฟ๊อกซ์ อาจจะไม่เคยรู้หรือไม่เคยใช้มาก่อน มีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันลยครับ</p><ul><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + Tab หรือ Ctrl + PageDown</strong> ช่วยในการเลื่อน Tab เลือกไปข้างหน้า หรือจากซ้ายไปขวา</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + Shift + Tab หรือ Ctrl + PageUp</strong> ช่วยในการเลื่อน Tab เลือกย้อนกลับ หรือจากขวาไปซ้าย</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + (1-9)</strong> ช่วยในการเลือก Tab ตามลำดับการเปิด Tab 1-9</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + N</strong> เปิดหน้าต่างไฟร์ฟ๊อกซ์ใหม่</li><li>กดปุ่ม <strong> Ctrl + T</strong> เปิด Tab ใหม่</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + L หรือ Alt + D หรือ F6</strong> เพื่อให้โฟกัสเคอร์เซอร์ไปอยู่ที่ Address bar</li><li> <strong>Ctrl + K หรือ Ctrl + E</strong>เพื่อให้โฟกัสเคอร์เซอร์ไปอยู่ที่ Search bar</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + O</strong> เปิดไฟล์</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + W</strong> ปิด Tab หรือหน้าต่างที่มี Tab เดียว</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + Shift + W</strong> ปิดหน้าต่าง</li><li>กดปุ่ม <strong> Ctrl + S</strong> บันทึกไฟล์</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + P</strong> พิมพ์หน้าเว็บเพจ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + F หรือ F3</strong> เพื่อเรียกใช้ Search tool bar</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + G หรือ F3</strong> เพื่อค้นหาต่อไป</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + Shift + G หรือ Shift + F3</strong> เพื่อค้นหาย้อนกลับ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + B หรือ Ctrl + I</strong> เพื่อเรียกใช้ Bookmarks sidebar</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + H</strong> เพื่อเรียกใช้ History sidebar.</li><li>กดปุ่ม <strong>Escape</strong> หยุดการโหลดหน้าเว็บเพจ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + R หรือ F5</strong> เพื่อรีโหลดหน้าเว็บเพจ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + Shift + R หรือ Ctrl + F5</strong> เพื่อรีโหลดหน้าเว็บเพจใหม่ โดยไม่ต้องดึงจากแคช</li><li>กดปุ่ม <strong> Ctrl + U</strong> ดูซอสโค้ดหน้าเว็บเพจนั้นๆ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + D</strong>: เพื่อ Bookmark หน้าเว็บเพจนั้นๆ</li><li>กดปุ่ม <strong> Ctrl + NumpadPlus หรือ Ctrl + Equals (+/=)</strong> เพื่อเพิ่มขนาดตัวอักษรในหน้าเว็บเพจ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + NumpadMinus หรือ Ctrl + Minus</strong> เพื่อลดขนาดตัวอักษรในหน้าเว็บเพจ</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + Numpad0 หรือ Ctrl + 0</strong> เซ้ตขนาดตัวอักษรเป็นขนาดดีฟอลต์</li><li>กดปุ่ม <strong>Alt + Left หรือ Backspace</strong> ย้อนกลับไปหน้าเว็บเพจที่ผ่านมา</li><li>กดปุ่ม <strong>Alt + Right หรือ Shift + Backspace</strong>: เลื่อนไปเปิดหน้าเว็บเพจถัดไป</li><li>กดปุ่ม <strong> Alt + Home</strong> เปิดหน้าแรก</li><li>กดปุ่ม <strong>Ctrl + M</strong> เปิดหน้าสำหรับเขียนเมล์ใหม่ โดยเรียกใช้ mail client default ที่ติดตั้งลงไว้ในเครื่อง</li><li>กดปุ่ม <strong> Ctrl + J</strong> เปิดหน้าต่างจัดการดาวน์โหลดไฟล์</li><li>กดปุ่ม <strong>Apostrophe (’)</strong> ค้นหาลิงค์ในหน้าเว็บเพจตามคีย์เวิร์ดที่ค้นหา</li><li>กดปุ่ม <strong>Slash (/)</strong> ค้นหาข้อความในหน้าเว็บเพจตามคีย์เวิร์ดที่ค้นหา</li></ul><p>...... ใส่ <strong>ดอทเน็ต(.net)</strong>, <strong>ดอทโออาร์จี(.org)</strong> ต่อท้ายชื่อโดเมนหรือ URL Address ให้อัตโนมัติ</p> <p>โดยปกติ เมื่อเราพิมพ์ชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนนั้นๆ เช่น “google” แล้วกดปุ่ม <strong>Ctrl+Enter</strong> แล้วไฟร์ฟ๊อกซ์จะใส่ <strong>.com</strong> ต่อท้ายให้อัตโนมัติ และเปิดหน้าเว็บไซต์ www.google.com ขึ้นมา แต่ถ้าเป็น .net, .org หล่ะ จะทำยังไง? วิธีง่ายๆ ก็คือ ให้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนนั้นๆ ในช่อง Address bar แล้วจากนั้นกดปุ่ม <strong>Shift+Enter</strong> เพื่อใส่ <strong>.net</strong> หรือกดปุ่ม <strong>Ctrl+Shift+Enter</strong> เพื่อใส่ <strong>.org</strong> ต่อท้ายอัตโนมัติ แล้วไฟร์ฟ๊อกซ์จะพาคุณเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์นั้นๆ</p> <p>...... กดปุ่ม <strong>Alt+D</strong> เพื่อ hilight แถบเลือกบน Address bar ของ Firefox</p> <p>......กดปุ่ม <strong>Ctrl+T</strong> เพื่อเปิดหน้าแท๊บใหม่ และ กดปุ่ม <strong>Ctrl+Shift+T</strong> เพื่อเปิดหน้าแท๊บที่ถูกปิดออกไป (ซึ่งวิธีนี้ ช่วยให้เปิดแท๊บที่ถูกปิดไปอย่างไม่ตั้งใจหรือคลิกปิดผิดแท๊บได้) หรือจะไปที่เมนู <strong>History > Recentlys Closed Tabs</strong> ก็ได้เช่นกัน</p> <p>......เปิดหน้าแท๊บใหม่ แต่ใช้ URL เดิมที่แสดงอยู่ใน URL Address ง่ายๆ ด้วยการกดปุ่ม <strong>Alt+Enter</strong></p> <p>..... กดปุ่ม <strong>Delete</strong> เพื่อลบ URL history หรือ Autocomplete form</p> <p>....กดปุ่ม <strong>Ctrl+Tab</strong> เพื่อเลือกหน้าต่างแท๊บได้อย่างใจ</p> <p>.....กดปุ่ม <strong>Ctrl+[1,2,...,9]</strong> เพื่อเลือกหน้าแท๊บที่ 1 ถึง 9 ที่ถูกเปิดไว้ตามลำดับ</p> <p>..... กดปุ่ม <strong>Spacebar</strong> หรือ <strong>Page Down</strong> เพื่อเลื่อนหน้าเว็บเพจลงไปด้านล่าง และกดปุ่ม <strong>Shift+Spacebar</strong> หรือ <strong>Page Up</strong> เพื่อเลื่อนหน้าเว็บเพจขึ้นไปด้านบน</p> <p>..... อันนี้ไม่ใช่คีย์บอร์ดช๊อตคัต แต่เป็นการใช้ <strong>ปุ่มกลางของเม้าส์</strong> ช่วยเปิดหน้าแท๊บใหม่ โดยกดปุ่มกลางของเม้าส์ที่ลิงก์ใดๆในหน้าเว็บเพจที่ต้องการ แล้วไฟร์ฟ๊อกซ์จะเปิดหน้าลิงก์นั้นๆเป็นแท๊บใหม่</p>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-90486649994982445682009-08-05T07:58:00.000-07:002009-08-05T08:05:54.751-07:00TIP การซ่อนไอคอนบนเดสก์ท็อปให้หน้าจอดูว่าง<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicpaTYzkGq1qE8ZeP7a_uVUfvm0VIbySuemdZ7SxuF1DH_-EbZXTlOU6UNuZk92mzZlvrZkBG-pa_QT33lZ8aaI4G1L80oMxbDHxO8JF_Wi4gKQnmJNeYmvCd-TMsPmKBkJIiBrvnUgTLO/s1600-h/tips203_06.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 220px; height: 165px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicpaTYzkGq1qE8ZeP7a_uVUfvm0VIbySuemdZ7SxuF1DH_-EbZXTlOU6UNuZk92mzZlvrZkBG-pa_QT33lZ8aaI4G1L80oMxbDHxO8JF_Wi4gKQnmJNeYmvCd-TMsPmKBkJIiBrvnUgTLO/s320/tips203_06.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366495733869846722" border="0" /></a><br /># ถ้าผู้ใช้ งานต้องการให้หน้าจอเดสก์ท็อปไม่มีไอคอนอะไรปรากฏอยู่ มีเพียงแบ็กกราวนด์เท่านั้น ปกติจะต้องให้เป็นหน้าที่ของโปรแกรม Tweak แต่ถ้าคุณใช้งานวินโดวส์ เอ็กซ์พี การทำหน้าจอเดสก์ท็อปให้สะอาดๆนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยการทำตามขั้นตอนดังนี้<br />รูปที่ 6 : ทำไมหน้าจอเดสก์ทอปว่างจัง!<br /><br /># ลากชอร์ตคัต Recycle Bin ไปยังเมนู Start และวางลงไปในส่วนบนสุด หรือในส่วนเดียวกับ Internet Explorer และ Outlook Express<br /><br /># คลิ้กขวาลงบนเดสก์ท็อปแล้วเลือกไปที่รายการ Arrange Icons By<br /><br /># จากนั้นไปคลิ้กยกเลิก Show Desktop Icons<br /><br /># ตอนนี้หน้าจอจะว่างเปล่า หากต้องการใช้งาน Recycle Bin ก็ให้ไปเรียกใช้งานโดยการไปคลิ้กที่เมนู Start<br /><br /># ทิปให้ System Tray ซ่อนและแสดงอัตโนมัติ<br /><br /><span style="color: rgb(51, 255, 51);font-size:130%;" ><span style="font-weight: bold;">หากต้องการปรับแต่งไอเทมที่แสดงใน System Tray ให้แสดงหรือไม่ต้องการให้แสดงนั้นสามารถกำหนดค่าได้โดย</span></span><br /><br /># ไปคลิ้กขวาลงบนปุ่ม Start จากนั้นให้ไปเลือกที่รายการ Properties<br /><br /># จากนั้นจะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Taskbar and Start Menu Properties ให้ไปคลิ้กเลือกที่แถบ Taskbar<br /><br /># ไปคลิ้กที่ปุ่ม Customize...<br /><br /># จะแสดงหน้าต่าง Customize Notifications เพื่อให้ผู้ใช้งานคลิ้กเลือกว่าต้องการซ่อนและแสดงไอคอนใด เมื่อไปคลิ้กลงยังไอคอนที่ต้องการ จะแสดงดร็อปดาวน์ เพื่อให้เลือกออปชัน 2 รูปแบบ ได้แก่ Always Hide (ไม่แสดงเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน)และ Always Show (แสดงเมื่อมีการคลิ้ก)<br /><br /># แล้วไปคลิ้กที่ปุ่ม OKfreewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-835051811355749872009-07-25T23:00:00.001-07:002009-07-26T07:49:07.409-07:00Tip วิธีการรักษายืดอายุ Flash Drive ให้อยู่กับเราไปนานๆหลายคนเวลาใช้ Flash Drive ก็เพียงเสียบเข้าไปในช่อง USB เลย<br />แต่ปัญหา มันอยู่ตรงนี้ เมื่อหลายคนเลิกใช้แล้ว ก็จะต้องไปคลิกยกเลิกการเชื่อมต่อที่ทาสก์บาร์ Safely Remove Hardware<br />และก็มีหลายคนที่ไม่ทำตามวิธีดังกล่าว เมื่อเลิกใช้ก็ดึง Flash Drive ออกเลยทันที<br />ถ้าเพื่อนๆทำแบบนี้โดยไม่มีการเซ็ทค่าอะไร Flash Drive ของเพื่อนๆก็อาจจะจากเราไปก่อนวัยอันควรได้ แต่!! ก็มีวิธีแนะนำมาฝากค่ะ เรามาดูวิธีการเซ็ทค่ากัน<br /> เริ่มจากเปิด <b>My computer </b> และไปคลิกขวาที่ไอคอนของ <b>Flash Drive </b> และเลือก <b>Properties</b><br />จากนั้นไปเลือกที่ <b>Tab Hardware </b> ดังรูป จะเกิดกรอบใหม่ขึ้นมา<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiq089HZ-WWk5oEqNjRh2C9QIhdeL9S7djrarlH84Zoq1Vj1BEX2f3tuCRZ6EW3VRQEpjDHzvp6NtFbHJeQeh2soKpbeWN_LdGm10FDgmNW7aPwe0YYgfGPs-sG8ot6j7vuoPqhcH9p0SV8/s1600-h/000000001.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 258px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiq089HZ-WWk5oEqNjRh2C9QIhdeL9S7djrarlH84Zoq1Vj1BEX2f3tuCRZ6EW3VRQEpjDHzvp6NtFbHJeQeh2soKpbeWN_LdGm10FDgmNW7aPwe0YYgfGPs-sG8ot6j7vuoPqhcH9p0SV8/s320/000000001.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5362780065292553890" border="0" /></a><br />จากนั้นมองหาชื่อ <b>Flash Drive </b> ของเพื่อนๆที่มีอยู่และดับเบิลคลิกจะเกิดกรอบใหม่ขึ้นมาครับ<br />จากนั้นเลือกไปที่แทป <b>Policies</b> เมื่อเข้าสู่กรอบนี้จะมี <b>Option</b> ให้ปรับแต่งได้อยู่ 2 หัวข้อ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0aVwafzomXFSBDXKK39zBWXg1jTQL9NfRZSjRatOBJcydm3FgmO9pINPdgRW4m1EKW-VX3OjXIz9IKdaU6tgKCW6MZPgCS4C-Z1_tRBmXeYs67JNvXITc6CoWjg84C_M318KsvhndBoSa/s1600-h/000000002.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 285px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0aVwafzomXFSBDXKK39zBWXg1jTQL9NfRZSjRatOBJcydm3FgmO9pINPdgRW4m1EKW-VX3OjXIz9IKdaU6tgKCW6MZPgCS4C-Z1_tRBmXeYs67JNvXITc6CoWjg84C_M318KsvhndBoSa/s320/000000002.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5362780479276296354" border="0" /></a><br />ในหัวข้อ <b>Write caching and Safe Removal </b> จะมีหัวข้อให้ปรับแต่ง<br />โดยในหัวข้อแรก<b> Optimize for quick removal </b> ให้เซ็ทไว้ที่ตัวนี้ เพราะจะทำให้ทุกครั้งที่ใช้<b> Handy drive </b> สามารถถอดเข้าถอดออกได้โดยไม่ต้องไปคลิกที่ <b>Safely remove hardware </b> ตรงบริเวณ ทาสก์บาร์ และใน <b>option </b> ส่วนล่างนั้น จะเป็นแบบเดิมที่ต้องไปคลิกที่ทาสก์บาร์<br />เท่านี้เมื่อเวลาจะใช้ <b>Flash Drive</b> ครั้งต่อไป เมื่อต้องการจะถอด <b>Flash Drive</b> ก็ทำได้ทันที <b>Flash Drive </b> ของเพื่อนๆก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกยาวนาน โดยที่ไม่จากไปก่อนวัยอันควร<br /><span style="color:DarkGreen;"><b><br /></b></span>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-18979555036741670902009-07-25T23:00:00.000-07:002009-07-25T23:19:30.162-07:00Tip 8 วิธีดึงเอาพื้นที่ฮาร์ดดิสก์คืนมา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTrxvOmmit10RnDh8KesvFUn9uuLzfwMhqVvh8DPvan-ABbBAX6UGvN5OohzqJwu1jZsTNFpSN9xDYsBOkx4-1Q80hM-t2n_HRytJN1ReSOY2CcYfOpwjlTV8JeX8RJ5-y2A9NHoSIZRYw/s1600-h/l_1241589274.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 150px; height: 150px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTrxvOmmit10RnDh8KesvFUn9uuLzfwMhqVvh8DPvan-ABbBAX6UGvN5OohzqJwu1jZsTNFpSN9xDYsBOkx4-1Q80hM-t2n_HRytJN1ReSOY2CcYfOpwjlTV8JeX8RJ5-y2A9NHoSIZRYw/s320/l_1241589274.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5362649578314715474" border="0" /></a><br />เทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้เสมอกรณีที่เริ่ม Setup คอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานเองก็คือ จัดแบ่งพาร์ติชั่นให้เหมาะสม โดยแยกให้เป็นพาร์ติชั่นสำหรับระบบปฏิบัติการ พาร์ติชั่นสำหรับ Application และสำหรับ Cache Drive หรือ Temp Drive และเมื่อใดก็ตามที่เห็นผู้ใช้งานท่านใด บ่นว่าไม่มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เราว่าปัญหาแท้จริงนั้นไม่ใช่ว่าพื้นที่ทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์เต็มไปด้วยข้อมูล แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือว่า การขาดการจัดการที่ดีมากกว่า แม้แต่ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ก็ต้องการการจัดการ<br /><br />กรณีนี้กล่าวถึงเฉพาะในพาร์ติชั่นของระบบปฏิบัติการและ Application เท่านั้น ส่วนตัวแล้ว กำหนดให้มีขนาดไม่เกิน 800<br />เมกะไบต์ เพราะถือว่าการติดตั้งซอฟต์แวร์ Application ในปริมาณที่เกินกว่า 1 เมกะไบต์นั้น เป็นการสิ้นเปลืองและการไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จร ิง รวมไปถึงการจัดการที่ไม่ดีด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พื้นที่ 800 เมกะไบต์ของผมก็ยังเต็มอยู่บ่อย ด้วยเหตุนี้ผมจึงเรียบเรียง กลวิธีง่ายๆในการดูแลพาร์ติชั่นดังกล่าวให้สะอาดและม ีพื้นที่ว่างประมาณ 30 - 50 เมกะไบต์เสมอ ทำไมต้องมีพื้นที่ว่าง เพราะต้องว่างไว้สำหรับข้อมูลแคชของ Netscape , Internet Explorer , ไฟล์ที่มีผู้ส่งให้ทาง E-mail และข้อมูลที่ต้องถูกเก็บโดยอัตโนมัติในพาร์ติชั่นเดี ยวกับ Application ไม่สามารถแยกเก็บต่างหากได้<br /><br />1. Recycles Bin คือ สถานที่แรกที่ควรพิจารณาจัดการ ปกติถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขนาดของถังขยะจะมีความจุ 1/10 เท่าของพื้นที่พาร์ติชั่น กรณีของฮาร์ดดิสก์ 1 กิกะไบต์ ก็จะมีถังขยะขนาด 100 เมกะไบต์ หากไม่จัดการให้เหมาะสม ปล่อยให้ถังขยะเต็มอยู่ตลอดเวลา ก็จะเสียพื้นที่ 100 เมกะไบต์ไปโดยเปล่าประโยชน์<br /><br />2. การจัดการกับข้อมูลใน Disk Cache ของบราวเซอร์ เช่น Netscape , Internet Explorer ข้อดีของการมีข้อมูลเหล่านั้นไว้ก็คือ ประหยัดเวลาในการดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ต และใช้ดูขณะ Offline ได้ แต่ข้อเสียก็คือใช้พื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ ทางที่ดีควร "ล้างแคช" โดยการใช้ฟังก์ชั่น Clear Cache ของบราวเซอร์ที่ใช้งาน กรณีของ Netscape นั้น ไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตอยู่ใน C:\Program File\Netcape\…\cache ส่วนกรณีของ Internet Explorer นั้นอยู่ใน C:\Windows\Teporary Internet File\ พื้นที่ที่ใช้ในการเก็บไฟล์เหล่านั้นเริ่มจากไม่กี่เ มกะไบต์ไปจนหลายสิบเมกะ ไบต์ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้ใช้งานก็ควรลบออก<br /><br />3. การจัดการกับไฟล์ที่ส่งแนบมากับจดหมายอิเลคทรอนิคส์ และไฟล์ข้อมูลที่ดาวน์โหลดเข้าเก็บไว้โดยโปรแกรมประเ ภท Offline Web Browser สำหรับไฟล์ที่แนบมากับจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้น อาจต้องการใช้งานระยะเวลาสั้นๆ หลังจากต้องดำเนินการขั้นต่อไปคือ ตัดสินใจว่าจะสำรองข้อมูลไว้ หรือลบทิ้ง หรือนำไปจัดเก็บในพาร์ติชั่นสำหรับข้อมูล ส่วนไฟล์ HTMLและรูปภาพที่ดาวน์โหลดโดย Offline Web Browser ถ้าหากต้องการเก็บไว้อ้างอิงระยะยาว ก็ควรย้ายไปยังพาร์ติชั่นสำหรับข้อมูลเช่นกัน หากไม่ต้องการใช้ก็ลบทิ้ง พื้นที่ว่างที่ได้เพิ่มขึ้นนั้น หลากหลายตามสัดส่วนความรกของไฟล์ สำหรับไฟล์ที่รับจาก e-mail กรณีที่ใช้งาน Eudora พบว่าบางครั้งไฟล์ขนาดใหญ่ และรับครั้งเดียวไม่สำเร็จ และเมื่อรับครั้งต่อไป ไฟล์นั้นจะถูกทิ้งไว้ และสร้างชื่อใหม่ขึ้นอีก ไฟล์ที่ใช้ได้คือไฟล์ที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและกำจัดไฟล์ขยะทิ้งไป<br /><br />4. ไฟล์นามสกุล .tmp ใน C:\Windows\temp เป็นไฟล์ชั่วคราว (Temporary File)ที่ถูกสร้างขณะที่ใช้งาน Application ต่างๆ ถ้าหากการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยการเปิด-ปิดตามปกติ ไฟล์ชั่วคราวดังกล่าวจะถูกทำลายโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ งานเสร็จ แต่ในกรณีที่วินโดวส์หยุดทำงานเพราะแฮงค์ ไฟล์ชั่วคราวดังกล่าวจะเหลืออยู่ และเมื่อเป็นปริมาณมากๆ ขนาดก็ใหญ่ตาม การกำจัดทำได้โดยใช้ยูทิลิตีส์ เช่น Norton Utility | Space Wizard<br /><br />5. ทิ้งชิ้นส่วนที่ไม่ได้ใช้งานแต่ถูกติดตั้งลงไปเมื่อต ิดตั้งวินโดวส์ สำหรับวินโดวส์ภาษาไทย สิ่งที่ลบออกได้ก็คือ C:\Program File\Online Service จะสังเกตเห็นว่า Online Services ที่ให้มานั้นคือ ของ AT &T , CompuServe, AOL ซึ่งเป็น บริการที่หาไม่ได้ในประเทศไทย แต่ถูกติดตั้งโดยอัตโนมัติ ไม่มีตัวเลือกให้ว่าจะเลือกติดตั้งหรือไม่ติดตั้ง และไม่มีตัว Uninstall ที่มากับ Windows ด้วย การลบทำได้สองวีธีคือ ลบด้วยมือ โดยเข้าไปลบใน Windows Explorer หรือใช้ยูทิลิตีส์ในการ Uninstall เช่น Clean Sweep , Uninstall การทิ้งส่วนนี้ให้พื้นที่ว่างถึง 9 เมกะไบต์<br /><br />6. Application ที่แถมมากับวินโดวส์ แต่ไม่ได้ใช้งาน กรณีนี้ควรตรวจสอบก่อนลบว่าต้องการใช้อยู่หรือไม่ เช่น Hyper Terminal , Word Pad Thai , Windows Messaging , Paint ,ทำให้พื้นที่ว่างลงอีกหลายเมกะไบต์ได้เช่นกัน การเอาออกทำได้โดยใช้ฟังก์ชัน Add/Remove Program ใน Control Panel<br /><br />7. ไฟล์สำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการ แต่หลงเหลือไว้ในฮาร์ดดิสก์หลังจากติดตั้งวินโดวส์เส ร็จเรียบร้อย พบในบางกรณี เช่น Notebook ยี่ห้อ Toshiba เมื่อซื้อมานั้น มักจะมาพร้อมกับวินโดวส์ 95 ซึ่งถูกติดตั้งเรียบร้อย แล้ว แต่ไฟล์สำหรับติดตั้งนั้นจะอยู่ใน C:\Windows\Option ซึ่งมีขนาดความจุ 60 - 90 เมกะไบต์ ทั้งนี้ประโยชน์ของการมีไฟล์ดังกล่าวไว้คือ กรณีที่วินโดวส์เสียหาย ก็สามารถติดตั้งจากตัวต้นฉบับที่ถูกคัดลอกไว้ดังกล่า วได้ แต่ก็เสียพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ไป ทางที่ดีควรพิจารณาสำรองไว้ในแผ่นฟล๊อปปี้ หรือหากเป็นการใช้งานคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย (Workgroup) ก็ควรขอพื้นที่ในเซอร์เวอร์ เพื่อฝากไฟล์ดังกล่าว หรือหากไม่สามารถลบทิ้ง ไม่สามารถฝากไฟล์ไว้ที่เครื่องอื่นได้ แนะนำให้ลบไฟล์ชื่อ wowkit.exe ซึ่งมีขนาดถึง 19 เมกะไบต์ออก เพราะเป็นไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานกันตามปกติเช่นเดียวกัน<br /><br />8. ไล่ดูแต่ละโฟลเดอร์ทั้งใหญ่และย่อยถ้าทำได้ บางทีอาจจะเหลือขยะที่ทำให้เราจัดการได้บ้าง เช่น ไฟล์ตกค้างใน Eudora , ไฟล์ตกค้างจากการใช้ Offline Browser เช่น Teleport หรือไฟล์ที่เราอาจจะค้นพบได้เพิ่มเติมว่า มันไม่มีประโยชน์ และเปลืองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์โดยไม่จำเป็น<br /><br /><strong>ข้อมูลจาก :</strong> <a href="http://thaigaming.com/" target="_blank"><span style="color: rgb(128, 0, 128);"><strong>thaigaming.com</strong></span></a> <br /><br /> <a href="http://www.arip.co.th/" target="_blank"><img src="http://www.bcoms.net/system/ctm.gif" alt="COMPUTER.TODAY" border="0" /></a>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-64305793666980320552009-07-22T07:38:00.000-07:002009-07-26T00:10:19.857-07:00Tip 6 ทิป ทริคและเทคนิคการใช้งาน firefox<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje-giF8uzX4_uVcjapkXwfwVk8kxi4Pk5Prx1YY5VPg1d2l4iN4ndl8X_dNmrPF0S88CjbDfIFGhYzy5bzNIeXp4TpSztAVqpmXFANyxU5Bts1GgwORF9UHCTKjEULU7yDkL2txt-1ckeX/s1600-h/firefox-3-5-faster.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 100px; height: 80px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje-giF8uzX4_uVcjapkXwfwVk8kxi4Pk5Prx1YY5VPg1d2l4iN4ndl8X_dNmrPF0S88CjbDfIFGhYzy5bzNIeXp4TpSztAVqpmXFANyxU5Bts1GgwORF9UHCTKjEULU7yDkL2txt-1ckeX/s200/firefox-3-5-faster.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5361294726456520786" border="0" /></a><br />Mozilla Firefox Browser หลายคนเรียก จิ้งจอกไฟ สำหรับผม ถือได้ว่าเป็นเบราเซอร์ในดวงในใจเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เริ่มใช้งานอินเตอร์เน็ต ผมได้ใช้ IE, Firefox, Opera และตัวอื่นๆบ้าง ทั้งนี้ได้ลองเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความสามารถ ประสิทธิภาพการทำงาน หลายๆอย่างรวมเข้าด้วยกันแล้ว Firefox นี่แหล่ะคือสุดยอดในดวงใจ โดยเฉพาะ add-ons, plugins และ extensions เจ๋งๆ สุดยอดๆทั้งนั้น บางทีแทบไม่ต้องไปหาโปรแกรมมาใช้เลย Firefox ตัวเดียวก็จบ <p>หลังจากที่อรัมภบทเกี่ยวกับเจ้า Firefox ไปพอสมควรแล้ว และได้ใช้งานมานานแล้วเหมือนกัน วันนี้เลยจะมาแนะนำ 6 ทิป ทริค เทคนิคเด็ด สำหรับใช้งาน Firefox ที่คุณไม่เคยรู้และไม่ควรพลาด มาเล่าสู่กันฟัง มีอะไรนั้น ติดตามต่อได้เลยครับ </p> <p><strong>1. Re-Open Closed Tabs(เสกแท๊บที่ปิดไปให้กลับคืนมาในทันที)</strong> – ทราบหรือไม่ว่า คุณสามารถเปิดแท๊บที่ถูกปิดไปในหมาไฟได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้ Extensions หรือ Add-ons ตัวใดเลย วิธีการง่ายๆก็คือ เพียงแค่คุณกดปุ่ม <strong>Ctrl+Shift+T</strong> บนคีย์บอร์ดพร้อมกัน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเสกแท็บที่ถูกปิดไป ให้กลับมาได้แล้วครับ</p> <p><strong>2. Quick Search(ค้นหาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า)</strong> – ต่อไปนี้คุณไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าเว็บค้นหา เว็บเสิร์ทเทพๆ ทั้งหลายอย่าง Google, Yahoo แล้ว เพียงแค่คุณใช้งานช่องสำหรับค้นหา ซึ่งอยู่ด้านหลัง ถัดจาก address bar ของเจ้าหมาไฟ เพียงใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการค้นหา แล้ว Enter คุณก็จะได้ผลลัพธ์จากการค้นหาแล้วครับ</p> <p><strong>3. Delete visited URL(ลบยูอาร์แอลของลิงก์เว็บที่คุณไปท่องมาอย่างง่ายดาย)</strong> – ถ้าหากคุณท่องเน็ตด้วยหมาไฟ แล้วคุณอยากลบลิงก์เว็บหรือ URL บางตัวออกจาก history โดยไม่จำเป็นต้องทำการ Clear All Private Data ทั้งนี้บาง url นั้นคุณต้องการเก็บเป็นความลับ หรือเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการให้ใครเข้าไปหรือเห็น คุณสามารถลบ URL นั้นออกไปได้ โดยคลิกที่ปุ่ม dropdown ที่อยู่หลังสุดของช่อง address bar แล้วเลื่อนหาหรือเลือก URL ที่คุณต้องการ แล้วกดปุ่ม <strong>Del</strong> หรือ <strong>Delete</strong> ที่คีย์บอร์ด เท่านี้ URL นั้นก็จะหายไปจาก list และ history แล้วหล่ะครับ</p> <p><strong>4. Navigate tabs with keyboard(ใช้คีย์บอร์ดช่วยในการเลือกแท๊บ)</strong> – โดยปกติทั่วไปเราจะใช้เม้าส์ในการเลือกแท็บที่เปิดเว็บนั้นๆอยู่ แต่วันนี้เราสามารถใช้คีย์บอร์ดช่วยในการเลื่อน เลือกแท๊บที่เปิดเว็บที่เราต้องการอย่างรวดเร็ว โดยใช้คีย์ดังต่อไปนี้ :-</p> <ul><li>กดปุ่ม<strong> Ctrl+Tab</strong> พร้อมกันเพื่อเลื่อน/เลือกแท๊บจากซ้ายไปขวาหรือหน้าไปหลังนั่นเอง</li><li>ตรงกันข้าม ใช้ <strong>Ctrl+Shift+Tab</strong> เลื่อน/เลือกแท๊บจากขวาไปซ้ายหรือหลังไปหน้า ได้เช่นกัน</li><li>หรือสามารถใช้ <strong>Ctrl+Number</strong> เพื่อเปิดแท๊บที่ต้องการ เช่น Ctrl+3(เปิดเลือกแท๊บ 3 ที่เปิดไว้), Ctrl+5(เปิดเลือกแท๊บ 5 ที่เปิดไว้)</li></ul> <p><strong>5. เริ่มการดาวน์โหลดบัดเดี๋ยวนี้</strong> – โดยทั่วไปเวลาที่เราจะดาวน์โหลดไฟล์ เราต้องทำการคลิกที่ลิงก์ดาวน์โหลดไฟล์นั้นๆ หรือเลือก “Save Link As…” แล้วรอสักครู่ค่อยทำการดาวน์โหลดและบันทึกไฟล์ แต่วันนี้ขอแนะำนำให้ใช้วิธีการ drag เลือกที่ url หรือลิงค์สำหรับดาวน์โหลดไฟล์นั้นๆ ไปวางใส่ไอคอนรูป “<strong>download</strong>” ที่อยู่บน Toolbar จะทำให้หมาไฟทำการดาวน์โหลดไฟล์นั้นทันที<br /><br />(ถ้าไม่เห็นไอคอนให้ไปที่เมนู View>Toolbars>Customize…>แล้วคลิกเลือกไอคอน download ดังรูปข้างต้น drag เม้าส์ซ้ายค้างไว้ แล้วนำไปวางใส่ใน toolbars คุณก็จะได้ไอคอน download ดังรูป แล้วหล่ะครับ)</p> <p><strong>6. บันทึกไฟล์ รูปภาพหรือมีเดียอื่นๆในเว็บเพจที่ป้องกันการ Save ไว้ </strong>- ถ้าคุณอยากบันทึก Save ไฟล์ รูปภาพ วิดีโอ หรือมีเดืยอื่นๆในเว็บเพจที่มีการป้องกันการบันทึกไว้ เช่น ป้องกันการบันทึกด้วยคลิกขวา เป็นต้น วันนี้คุณสามารถ ทำการบันทึกไฟล์ รูปภาพ วิดีโอ หรือมีเดืยนั้นๆได้ โดยคลิกขวาที่เว็บเพจนั้นๆ > แล้วเลือกเมนู “<strong>View PAge Info</strong>” > จากนั้นเลือกที่แท๊บ “<strong>Media</strong>” > จากนั้นเลือกไฟล์หรือมีเดียที่คุณต้องการแล้วคลิกปุ่ม <strong>Save</strong> เพื่อบันทึกไฟล์ ได้ง่ายๆแล้วครับ (แต่สำหรับบาง Media อาจจะบันทึกไฟล์ได้ไม่สมบูรณ์นะครับ)</p> ครบทั้ง 6 ทิป+ทริกแล้วนะครับ ว่าแต่มีใครเคยใช้ทิป+ทริคอันไหนมาบ้างแล้วครับเนี้ย หรือใครมีเด็ดกว่านี้อีก แนะนำเพิ่มเติมกันได้นะครับfreewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-77807978826759873762009-07-22T07:26:00.000-07:002009-07-22T07:28:40.383-07:00Tip วิธีแก้ปัญหา svchost.exe Application Error<p>เคยเจอและเป็นกันไหมครับ เวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีป๊อบอัพเด้งขึ้นมาให้ตกใจ หัวข้อความว่า</p> <p>“<strong>svchost.exe – Application Error</strong>”</p> <p>ดังรูป</p> <p><img class="alignnone" title="svchost.exe apllication error" src="http://lh3.ggpht.com/_6WO1kX4SLdA/SkMdP3vMcmI/AAAAAAAABGw/M9rumIOGBiU/s800/svchost-exe-application-error.png" alt="" height="152" width="583" /></p> <p>จากนั้น เครื่องก็แฮงค์ ใช้งานไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย จะกดจะคลิกอะไรมันก็ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ต้องรีสตาร์ทเครื่องสถานเดียว จึงจะใช้งานได้ และเมื่อใช้งานไปได้ไม่นาน ก็เกิดอาการเครื่องแฮงค์อีก และมีป๊อบอัพดังรูปข้างต้นเด้งขั้นมาอีก และทำอะไรไม่ได้</p> <p>ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง Windows XP SP2, SP3 ซึ่งเกิดจากถูกโจมตีระยะไกล(remote attack) จากผู้ไม่หวังดีหรือแฮกเกอร์ อันเกิดจากรูรั่วทางด้านความปลอดภัยของวินโดวส์นั่นเอง</p> <p>ซึ่ง<strong>วิธีแก้ปัญหา svchost.exe Application Error</strong> สามารถทำได้โดยการดาวน์โหลดและติดตั้งSecurity Update for Windows XP (KB958644) ดังนี้</p> <ul><li><a rel="nofollow" href="http://webmonster.sapaan.net/goto/http://www.microsoft.com/downloads/details.aspx?familyid=0D5F9B6E-9265-44B9-A376-2067B73D6A03&displaylang=en" title="KB958644" target="_blank"><strong>ดาวน์โหลด Security Update for Windows XP (KB958644)</strong></a></li></ul> เมื่อดาวน์โหลดไฟล์ Security Update for Windows XP (KB958644) มาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการติดตั้งลงเครื่อง และทำการรีสตาร์ทเครื่อง 1 ครั้ง จากนั้นปัญหา svchost.exe Application Error ก็จะไม่มากวนใจคุณและเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณแล้วหล่ะครับfreewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-35570543884772858992009-07-20T05:35:00.000-07:002009-07-20T05:40:23.771-07:00Tip เพิ่มความแรงให้ Winxp แบบง่ายๆไม่ใช้โปรแกรม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA1zQtoZK7kJpe0hPRAdstQEHP_qTZwCKs2BaA-Jb0rKpNBiMO4xIRlFClRJY17h9O_BBf4ezZJDFD3AH_bCv1p8Qde9LQC-dODdMHN2mIvkZO1cmSpTEFqIqF47O-VBzvOl8N-VKdF5oP/s1600-h/thumbnailsho.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 300px; height: 225px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA1zQtoZK7kJpe0hPRAdstQEHP_qTZwCKs2BaA-Jb0rKpNBiMO4xIRlFClRJY17h9O_BBf4ezZJDFD3AH_bCv1p8Qde9LQC-dODdMHN2mIvkZO1cmSpTEFqIqF47O-VBzvOl8N-VKdF5oP/s320/thumbnailsho.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5360521220578507762" border="0" /></a><br />เพิ่มความแรงให้ Winxp แบบง่ายๆ เมื่อคุณได้ทำการปรับแต่งตามนี้จนครบถ้วนแล้ว จะทำให้เครื่องคุณแรงขึ้นอย่างแน่นอนครับ<br />1. เพิ่มพื้นที่ให้ HDD<br />พื้นที่ว่างของ HDD จะมีผลกับความเร็วในการทำงานพอสมควร วิธีเพิ่มพื้นที่ง่ายก็<br />1. ใช้ Disk Cleanup<br />2. ลบไฟล์ขยะ<br />-ไปที่ start > run พิม %temp% กด ok แร้วลบให้หมด<br />3. ลบโปรแกรมที่ไม่ใช้ไปบ้าง<br />4. ปรับค่าใน System Restore<br />-เรียงข้อมูล HDD อยู่เป็นประจำเพื่อการทำงานของHDDรับรองเร็วขึ้นแน่ๆ<br />โดยปกติ Winxp จะกันพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ใน Restore แต่มันจะกันเป็นเปอร์เซนต์ ยิ่งถ้า HDD ของเรามีขนาด<br />ใหญ่ System Restore ก็จะกันไว้มากเท่านั้น ซึ่งมันไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ ปรับได้โดย<br />- คลิกขวา My com > Propoties ไปแถบ System Restore ก็เลื่อนให้พอดีๆ หรือปะมาน 4% ก็พอ<br />- หรือไม่ใช้ก็ปิด System Restore ไปเลยโดยกดไปที่ Turn off System Restore on all drives<br />II ปรับ Effect ของ Winxp<br />ใครๆ ก็รู้ว่า Winxp มี Interface ที่สวยงาม แต่ด้วยความสวยที่ว่า มันกลับทำให้เครื่องทำงานช้าลง<br />มีหลาย effect ที่เราแทบมองไม่เห็น บางอย่างเราปิด effect นั้นๆ ลงแล้วก็ยังไม่มีผลกับการแสดงผล<br />ด้วยซ้ำ ปรับได้โดย<br />- คลิกขวา My Com > Propoties ไปแถบ Advance หัวข้อ Performance กด Settings ซึ่งปรับได้ 4 แบบ<br /><br />* Let Windows choose what's best for my computer ก็คือให้ WIndowsปรับค่าที่เหมาะสมเอง<br />* Adjust for best appearance คือปรับแบบให้สวยสุด แต่ทำงานจะช้าลง<br />* Adjust for best performance คือปรับแบบให้ทำงานไวสุด แต่จะไม่สวย<br />* Custom คือ ปรับค่าเอาเองfreewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-32427945717669504202009-07-17T07:11:00.001-07:002009-07-17T07:30:24.656-07:00Tip Firefox 3.5.1 ออกแล้วแก้ไขข้อผิดพลาด อัพเกรดด่วน<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMNT1XWoHUGEf5js0wmmQQKl4EkLXOE8qdraSXUXYRSYkjkLamO7ouOhQnF7-ia_pDSlRbs1JBdKssDSPGQIt67P1En9vOXuE32zMybYcONjW6v5hGQZBZf3uhKJO7bt7vdCloJen2Ik9d/s1600-h/firefox-3-5-faster.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 100px; height: 80px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMNT1XWoHUGEf5js0wmmQQKl4EkLXOE8qdraSXUXYRSYkjkLamO7ouOhQnF7-ia_pDSlRbs1JBdKssDSPGQIt67P1En9vOXuE32zMybYcONjW6v5hGQZBZf3uhKJO7bt7vdCloJen2Ik9d/s320/firefox-3-5-faster.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5359433246447520386" border="0" /></a>ขอบคุณที่ติดตั้ง Firefox รุ่นที่เร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุดและฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขอให้ท่องเว็บให้สนุก! นี้คำยืนยันจากทางต้นสังกัด Mozillaหลังจากที่เราอัพเกรดเป็น Firefox 3.5.1 ครับ<br />หลังจากมีข่าวว่า TraceMonkey (๋JavaScript Engine ตัวใหม่ใน Firefox 3.5) มีช่องโหว่ที่ทำให้ไวรัสเข้ามาจับจองอาศัยอยู่ในเครื่องของเหยื่อได้ง่าย ๆ เหล่าสาวกหมาไฟก็ต่างอกสั่นขวัญหายไปตาม ๆ กัน ซึ่งผมได้นำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ทางต้นสังกัด Mozilla ก็มิได้ให้พวกเรารอนาน ส่งตัวแก้มาแล้วโดยเป็นรุ่นปรับปรุงต่อจาก3.5นั้นเองครับ!!!<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQvQZOFjwEwzvVVDw4BwrYFfFb6a_4goRahhX2tyoYHR5AL8Lf4-MxTsn2lfgdp9KhcCSgEcwKxaWAgtP3-oFijyahOvnDt55XCVI0nPOuq6r8_US62ivceOsEkIQxuwrFBxq4meyj0LBf/s1600-h/Firefox351Update.png"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 287px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQvQZOFjwEwzvVVDw4BwrYFfFb6a_4goRahhX2tyoYHR5AL8Lf4-MxTsn2lfgdp9KhcCSgEcwKxaWAgtP3-oFijyahOvnDt55XCVI0nPOuq6r8_US62ivceOsEkIQxuwrFBxq4meyj0LBf/s320/Firefox351Update.png" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5359431982541677538" border="0" /></a><br />ครั้งอื่น ๆ ไม่อัพเดตไม่เป็นไร แต่ครั้งนี้ (และครั้งอื่น ๆ ที่ร้ายแรงพอ ๆ กับครั้งนี้) ต้องอัพเดตครับ เพราะมันแก้ปัญหาสำคัญ 2 อย่างด้วยกัน<br /><br />* ปัญหาที่ Firefox 3.5 แส่เข้าไปสแกนอ่านไฟล์ Temp ใน Windows (รวมถึง Temp กับ History ของ IE ด้วย) ทำให้บางคนพบว่า Firefox 3.5 ใช้เวลาโหลดตัวเองขึ้นมาช้ากว่าปกติ ถูกแก้ไขใน 3.5.1 แล้ว (แต่ถ้าอืดมาจากสาเหตุอื่นก็ไม่หายหรอกโดยเฉพาะเรื่องกินแรมเครื่อง )<br /><br />* ช่องโหว่ใน JavaScript Engine ที่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถควบคุมเครื่องเราได้ (หรือภาษาบ้าน ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า แอบมาหยอดไวรัส ) ก็แก้แล้ว ใครที่อ่านข่าวก่อนหน้านี้ที่บล็อกอื่นแล้วไปตั้งค่า javascript.options.jit.content ใน about:config เป็น False ไว้ ให้กลับไปแก้เป็น True ได้แล้วครับ<br /><br />แต่ด้วยเหตุที่ครั้งนี้เขาลัดคิวออกมาแก้บั๊ก ตัวเป้งโดยเฉพาะ พวกตัวจิ๊บ ๆ เลยเลื่อนไปแก้ใน 3.5.2 ซึ่งจะออกมาปลายเดือนนี้แทนครับ<br /><br />สำหรับวิธีการอัพเดต ก็เมนู ช่วยเหลือ > ตรวจหาการปรับปรุง... (Help > Check for Updates...) ตามเคย (หรือรอสักพักเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาให้อัพเดตเอง)freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-24241764504190645022009-07-15T17:07:00.001-07:002009-07-15T17:10:20.746-07:00Tip ป้องกันช่องโหว่ร้ายแรงใน Firefox 3.5รายงาน ข่าวจากบล็อกซีดีเน็ตระบุว่า พบช่องโหว่ร้ายแรงสูงสุด (Highly Critical) ในบราวเซอร์ไฟร์ฟอกซ์ 3.5 (Firefox 3.5) โดยมีการปล่อยโค้ดอันตรายที่ใช้ช่องโหว่ดังกล่าวออกมาแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ ผ่านมา ทางด้านโมซิลล่า (Mozilla) กำลังอยู่ในระหว่างการเร่งแก้ไขข้อบกพร่องของการทำงานดังกล่าว<br /><br />หน่วยงานแจ้งเตือนภาวะฉุกเฉินของระบบ คอมพิวเตอร์ในสหรัฐ (US-CERT) ประกาศเตือนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า พบช่องโหว่ในบราวเซอร์ไฟร์ฟอกซ์ 3.5 ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บุกรุกสามารถสั่งรันโค้ดอันตรายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ ทั้งนี้โค้ดโปรแกรมที่พิสูจน์ทราบการใช้ช่องโหว่ดังกล่าวได้ถูกโพสต์ขึ้นไป บนเน็ตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในเว็บไซต์ Milw0rm.com และดูเหมือนว่า มันเริ่มมีการโจมตีด้วยช่องโหว่นี้แล้ว<br /><br />ช่องโหว่ดังกล่าวถูกพบโดย Simon Berry-Byrne ซึ่งเปิดเผยว่า มันเกี่ยวข้องกับวิธีการทำงานของ JavaScript ใน Firefox 3.5 ทางด้านโมซิลล่าได้รับทราบช่องโหว่ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังทดสอบการแก้ไขช่องโหว่ดังกล่าว "สำหรับการใช้ช่องโหว่นี้ ผู้บุกรุกจะหลอกให้เหยื่อเข้าไปเยี่ยมชมเว็บเพจที่ฝังโค้ดอันตรายไว้ อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ดังกล่าว สามารถป้องกันในเบื้องต้นได้ด้วยการยกเลิก JIT ในกลไกการทำงานของ JavaScript ซึ่งขั้นตอนมีดังนี้<br /><br />1. เปิด Firefox 3.5 ในช่อง location พิมพ์คำสั่ง about:config<br />2. พิมพ์คำว่า jit เข้าไปในช่อง Filter ที่อยู่ด้านบนของส่วนแก้ไขคอนฟิก<br />3. ดับเบิ้ลคลิ้กบนบรรทัดที่มีข้อความว่า "javascript.options.jit.content" เพื่อตั้งค่าให้เป็น False<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBjTSMRiMjx-ILjkMJAmC04zkJIIoI7FX3DW4UWoCCSgOByq_WKYArkdSjlZXfCjkgd1-JLT1ve8XNFoUY9AmtwMU3uI7R7vpqZGE2RneohVA9J60SrkgIEpFu3g8e7m4bVtisQxvEyiB5/s1600-h/firefox-jit-javascript-highly-critical-flaw-2.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 209px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBjTSMRiMjx-ILjkMJAmC04zkJIIoI7FX3DW4UWoCCSgOByq_WKYArkdSjlZXfCjkgd1-JLT1ve8XNFoUY9AmtwMU3uI7R7vpqZGE2RneohVA9J60SrkgIEpFu3g8e7m4bVtisQxvEyiB5/s320/firefox-jit-javascript-highly-critical-flaw-2.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5358843088144634162" border="0" /></a><br />อีกวิธีหนึ่งก็คือ ติดตั้ง NoScript plug-in ซึ่งจะยกเลิก (disable) การทำงานของ javaScript ทั้งหมดในบราวเซอร์<br /><br />Secunia บริษัท ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยในเดนมาร์ก จัดระดับความรุนแรงของช่องโหว่นี้เป็น "Highly Critical" พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า Firefox เวอร์ชันเก่าอาจจะได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ด้วย ส่วนทางด้านบริษัท F-Secure ในฟินแลนด์ กล่าวว่า Exploit Shield ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของตนสามารถป้องกันการใช้ช่องโหว่นี้ได้...<br /><br /><span class="Apple-style-span" style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" >โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ <a rel="nofollow" target="_blank" href="http://arip.co.th/"><span class="yshortcuts" id="lw_1247702724_5">ARiP.co.th</span></a></span>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-57739894584790815392009-07-15T07:53:00.000-07:002009-07-15T16:59:39.952-07:00Tip คีย์ลัด “ปรับขนาด” หน้าเว็บให้เล็กใหญ่ตามใจชอบสำหรับผู้ใช้บราวเซอร์ที่อาจเจอหลายไเว็ปที่มีขนาดของเว็ปเล็กบ้างใหญ่บ้างทั้งขนาดตัวหนังสือหรือรูปภาพ อาจจะมีปัญหาเรื่องสายตาในการจ้องอ่านข้อความตัวอักษรที่มีขนาดเล็กบนหน้าเว็บ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแก้ปัญหาด้วยการตั้งค่าตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้นด้วยคำสั่ง Text Size ในเมนู View หรือไม่ก็กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วเลื่อนลูกกลิ้งที่อยู่ตรงกลางปุ่มเมาส์ ส่วนตัวนายเกาเหลาชอบใช้ชอร์ทคัต หรือคีย์ลัดมากกว่า ซึ่งวันนี้นายเกาเหลาจะมาแนะนำวิธีปรับขนาดหน้าเว็บ (zoom) ด้วยคีย์ลัดที่รับรองว่า สะดวกกว่ามาก<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2gi1cB7qC3keIhT0xZTLdaJa-0-zuzgkLH3ayNXtx6z13Dr4ASML2bryw0s0oKl4yMllFS25JdTj7Q5J8KCTHPDZmWwZ4Se39EuHmsaDNJbgWNRlfNHI-PaqKfuFynYcIxdTi4KWo4Rj1/s1600-h/zoom_shortcut_2.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 191px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2gi1cB7qC3keIhT0xZTLdaJa-0-zuzgkLH3ayNXtx6z13Dr4ASML2bryw0s0oKl4yMllFS25JdTj7Q5J8KCTHPDZmWwZ4Se39EuHmsaDNJbgWNRlfNHI-PaqKfuFynYcIxdTi4KWo4Rj1/s320/zoom_shortcut_2.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5358702549596582946" border="0" /></a><br /> <span style="color: rgb(255, 0, 0);"> Zoom ใกล้ๆ ใหญ่อลังการงานสร้าง!!!</span><br />บราวเซอร์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Internet Explorer, Firefox และ Safari ต่างก็สนับสนุนการใช้งานคีย์ลัด เพื่อปรับขนาดของหน้าเว็บให้ใหญ่ขึ้น หรือเล็กลงได้ทั้งนั้น โดยหากผู้ใชพีซีต้องการขยายหน้าเว็บ เพื่อให้ทุกองค์ประกอบบนหน้าเว็บใหญ่ขึ้น ก็สามารถทำได้โดยกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วกดปุ่ม + สังเกตว่า ทุกครั้งที่กด หน้าเว็บจะขยายขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกราฟิก หรือข้อความ ในทางตรงข้าม ถ้ากดปุ่ม Ctrl ค้างไว้ แล้วกดปุ่ม – หน้าเว็บก็จะถูกย่อให้มีขนาดเล็กลง ทุกครั้งที่กดปุ่ม – สำหรับผู้ใช้ mac ให้กดปุม Command ตามด้วย + หรือ – เพื่อขยาย หรือลดขนาดของหน้าเว็บในบลราวเซอร์เช่นเดียวกันครับ และหากต้องการให้หน้าเว็บกลับมาที่ขนาด 100% เหมือนตอนแรก ก็สามารถทำได้โดยกดปุ่ม Ctrl (หรือ Command บน Mac) ตามด้วย 0 (ปุ่มเลขศูนย์) เพียงแค่นี้ หน้าเว็บก็จะกลับมามีขนาดปกติแล้ว ใครที่มีปัญหาอยู่ก็ลองนำวิธีนี้ไปใช้กันดูนะครับ ซึ่งขอบอกตามตรงผมใช้ทุกครั้งเลยที่ท่องเว็ปช่วยได้มากจริงๆ<br />บทความโดย <span style="color: rgb(128, 128, 128);"><b>www.arip.co.th</b></span>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-84099306890390113932009-07-15T07:25:00.000-07:002009-07-15T17:00:39.404-07:00Tip 10 เทคนิคการติดตั้งระบบ LAN ไร้สาย ให้ปลอดภัยจากแฮกเกอร์ระบบ LAN ไร้สาย หรือ Wireless LAN กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขั้นเรื่อยๆ ขณะที่ความปลอดภัยของระบบ Wireless LAN ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี เราควรติดตั้งระบบ Wireless LAN ให้ปลอดภัยตามหลักการด้าน Information Security เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ไม่หวังดี<br /> ลองตรวจสอบระบบ Wireless LAN ของคุณดูว่าได้ทำตาม 10 เทคนิคการติดตั้งระบบ Wireless LAN ให้ปลอดภัยแล้วหรือยัง ถ้ายังก็แปลว่าระบบ Wireless LAN ของคุณยังมีความเสี่ยงอยู่ และ ควรได้รับการแก้ไขให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นนะครับ<br /> <span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" > 10 เทคนิคการติดตั้งระบบ LAN ไร้สายให้ปลอดภัยจากแฮกเกอร์ </span><br />1. วาง Access Point (AP) ในตำแหน่งที่เหมาะสม <br /> ไม่ควรวาง AP ไว้ในระบบ LAN ภายใน ควรวาง AP บริเวณหน้า Firewall จะปลอดภัยกว่า แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ต้องวางภายใน LAN ที่เป็น Internal Network ก็ควรจะมีการเพิ่มการ Authentication, Encryption เข้าไปด้วย<br />2. กำหนดรายการ MAC Address ที่สามารถเข้าใช้ AP ได้เฉพาะที่เราอนุญาตเท่านั้น<br /> การ Lock ด้วยวิธีกำหนดค่า MAC Address นั้น แม้ว่าจะไม่ใช้วิธีที่กัน Hacker ได้ 100% ก็ตาม เพราะ Hacker สามารถ Spoof ปลอม MAC Address ได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีการกำหนดเสียเลย เหมือนกับว่าเราควรมีการป้องกันหลายๆ วิธี การกำหนด MAC Address ให้เฉพาะเครื่องที่เราอนุญาตก็เป็นการกันในชั้นหนึ่ง เพื่อให้ Hacker เกิดความยากลำบากในการ Hack เข้าสู่ระบบ Wireless LAN ของเรา<br />3. จัดการกับ SSID (Service Set Identifier) ที่ถูกกำหนดเป็นค่า Default มาจากโรงงานผลิต<br /> ค่า SSID จะถูกกำหนดเป็นค่า Default มาจาก Vendor เช่น Cisco Aironet กำหนดเป็นชื่อ tsunami เป็นต้น เราควรทำการเปลี่ยนค่า SSID ที่เป็นค่า Default ทันทีที่เรานำ AP มาใช้งาน และ ควรปิดคุณสมบัติการ Auto Broadcast SSID ของตัว AP ด้วย<br />4. ใช้ WEP (Wired Equivalent Privacy) security protocol ในการเข้ารหัสข้อมูลระหว่าง IEEE 802.11b Wireless LAN Client และ Access Point (AP)<br /> มาตรฐาน WEP เป็นมาตรฐานหลักที่มีใน AP ทุกตัว แต่โดยปกติแล้วจะไม่ได้เปิดใช้ ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้โปรแกรม Packet Sniffer เช่น Ethereal (<a href="http://www.ethereal.com/" target="_blank">www.ethereal.com</a>) ดักจับ Packet และสามารถอ่านข้อมูลที่เป็น Plain text ได้เพราะ AP มีลักษณะการทำงานแบบ HUB ไม่ใช่ Switching เหมือนที่เราใช้กันใน LAN ทุกวันนี้ เราจึงควรมีการเข้ารหัส Packet ของเราในระดับ Layer 2 เพื่อให้ยากต่อการจับด้วยโปรแกรมประเภทนี้ ถ้าเราเพิ่มการ generate WEP Key เป็นแบบ Dynamic จะช่วยให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้งานแบบ Session-Based และ User-Based WEP Key ก็ช่วยได้เช่นกัน<br />5. อย่าหวังพึ่ง WEP อย่างเดียว เพราะ WEP สามารถที่จะถูก Crack ได้ <br /> การเพิ่ม WEP เข้ามาในการใช้งาน Wireless LAN เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ WEP ก็ไม่สามารถกันพวกแฮกเกอร์ได้ 100% เพราะมีโปรแกรมที่สามารถถอดรหัส WEP ได้ ถ้าได้ IP Packet จำนวนมากพอ เช่น โปรแกรม AirSnort จาก <a href="http://www.shmoo.com/" target="_blank">http://www.shmoo.com</a> เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราควรเพิ่มการป้องกันใน Layer อื่นๆ เข้าไปด้วย<br />6.ใช้ VPN ร่วมกับการใช้งาน Wireless LAN<br /> การใช้ VPN ระหว่าง Wireless LAN Client กับ AP ต่อเชื่อมไปยัง VPN Server เป็นวิธีที่ปลอดภัยมากกว่าการใช้ WEP และ การ Lock MAC Address การใช้ VPN ถือได้ว่าเป็นการป้องกันที่ลึกอีกขั้นหนึ่ง และ เป็นการรักษาความปลอดภัยในลักษณะ end to end อีกด้วย<br />7. เพิ่มการ Authentication โดยใช้ RADIUS หรือ TACACS Server<br /> ถ้าองค์กรมี RADIUS Server หรือ CISCO Secure ACS (TACACS) Server อยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ร่วมกับ AP ที่มีความสามารถในการตรวจสอบ Username และ Password ก่อนที่ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบ (Authentication Process) และ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องจำหลาย Username หลาย Password ผู้ใช้สามารถใช้ Username และ Password เดียวกับที่ใช้ในระบบ Internal LAN ได้เลย ทำให้สะดวกในการบริหารจัดการ Account ภายใน และ IT Auditor ควรตรวจสอบการเข้าระบบ Wired และ Wireless LAN จาก Log ของระบบด้วย<br />8. การใช้ Single Sign On (SSO) ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อ 7 ควรกำหนดเป็น Security Policy ให้กับองค์กรสำหรับระบบ Wired และ Wireless LAN<br /> เพื่อที่เราสามารถที่จะกำหนดคุณสมบัติ AAA ได้แก่ Authentication, Authorization และ Accounting ได้ การใช้งานควรกำหนด Security Policy ทั้งระบบ Wired และ Wireless LAN ไปพร้อมๆ กัน และ แจ้งให้ผู้ใช้ได้ทราบปฎิบัติตาม Security Policy และสามารถตรวจสอบได้ <br />9. อุปกรณ์ Wireless LAN จากแต่ละผู้ผลิตอาจมีคุณสมบัติแตกต่างจากมาตรฐานและมีปัญหาในการทำงานร่วมกัน<br /> แม้ว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะผลิตตามมาตรฐาน IEEE 802.11b ผู้ผลิตบางรายมักจะเพิ่มคุณสมบัติบางอย่างเฉพาะผู้ผลิตรายนั้นๆ เช่น เพิ่มคุณสมบัติทางด้าน security ของอุปกรณ์เป็นต้น เราควรตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะติดสินใจซื้อมาใช้งานจริงว่าอุปกรณ์ไม่มีปัญหา ในการทำงานร่วมกัน<br />10. ระวัง Rouge AP แม้คุณจะไม่ได้ใช้ระบบ Wireless LAN เลยก็ตาม<br /> การ Hack จากภายในองค์กรในสมัยนี้ทำได้ง่าย แม้องค์กรจะไม่ได้ใช้ระบบ Wireless LAN เลย วิธีการก็คือ มีผุ้ไม่หวังดีทำการแอบติดตั้ง AP ที่ไม่ได้รับอนุญาติเข้ากับระบบ Internal LAN เรียกว่า Rouge AP จากนั้นผุ้ไม่หวังดีก็สามารถ Access Internal LAN ผ่านทาง Rouge AP ที่ทำการแอบติดตั้งไว้ ซึ่งเขาสามารถเข้าถึงระบบภายในได้ จากภายนอกอาคาร หรือ จากที่จอดรถของบริษัทก็ได้ ถ้าระยะห่างไม่เกิน 100 เมตร จาก AP ที่แอบติดตั้งไว้ <br /> เราควรมีการตรวจสอบ Rouge AP เป็นระยะๆ โดยใช้โปรแกรม Networkstumbler (<a href="http://www.netstumbler.com/" target="_blank">http://www.netstumbler.com</a>) เพื่อหาตำแหน่งของ Rouge AP หรือ เราควรติดตั้ง IDS (Intrusion Detection System) เช่น SNORT (<a href="http://www.snort.org/" target="_blank">http://www.snort.org</a>) เพื่อคอยตรวจสอบพฤติกรรมแปลกๆ ในระบบ Internal LAN ภายในของเราเป็นระยะๆ จะทำให้ระบบของเรามีความปลอดภัยมากขึ้น และ มีการเตือนภัยในลักษณะ Proactive อีกด้วย<br /> <br />บทความโดย ปริญญา หอมเอนก<br /><a href="http://www.spu.ac.th/announcement/articles/wireless_lan.htm" target="_blank">http://www.spu.ac.th/announcement/articles/wireless_lan.htm</a>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-11553573187012118422009-07-12T06:56:00.003-07:002009-07-12T07:08:40.587-07:00Tip ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการ Over Clock<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGkx74BsBfcoyWlsTHuo7m4118S6_tMBszfLIYzkQQ1P1e6wqUffa4QBpy3pz1z5sQ24NcTbj1NrBm_sZmXqUrUhSmkC5XKNTiFRV0USUGAfMDxJuytkx0jiLhg40ni_UfLfnFfQPm8Br5/s1600-h/thumbnailsho.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 300px; height: 225px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGkx74BsBfcoyWlsTHuo7m4118S6_tMBszfLIYzkQQ1P1e6wqUffa4QBpy3pz1z5sQ24NcTbj1NrBm_sZmXqUrUhSmkC5XKNTiFRV0USUGAfMDxJuytkx0jiLhg40ni_UfLfnFfQPm8Br5/s320/thumbnailsho.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357574141100843346" border="0" /></a><br />โอเวอร์คล็อกคืออะไร นี่อาจจะเป็นคำถามสำหรับมือใหม่ ผมจะกล่าวถึงการ "<span style="text-decoration: underline;"><span style="font-weight: bold;">Over Clock </span></span>" ให้ฟังอย่างง่าย ๆ ครับว่า ผลของมันจะทำให้เครื่องของเราเร็วขึ้น แรงขึ้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แค่นี้ก็ชักจะสนใจกันแล้วใช้ไหมล่ะ ผมว่าเรามาทำความรู้จักกับการโอเวอร็คล็อกให้มากกว่านี้กันดีมั้ยครับ<br />เคยมีคนสงสัยว่า การโอเวอร์คล็อกนั้นจะทำให้เครื่องของเรา เร็วขึ้น แรงขึ้น ได้อย่างไร คำตอบก็คือ มันเป็นการเพิ่มความเร็วให้กันซีพียู โดยการปรับแต่งความเร็วของระบบบัสภายใน หรือการปรับเปลี่ยนความถี่ของซีพียูให้มีค่าเปลี่ยนไปจากเดิมที่ใช้กันอยู่ อย่างเช่นปกติเราใช้ซีพียูความเร็ว 1000 เมกะเฮิรตซ์ และเมื่อเรานำมาโอเวอร์คล็อกแล้ว ซีพียูของเราจะมีความเร็วเพิ่มจาก 1000 เมกะเฮิรตซ์ ไปเป็น 1300 เมกะเฮิรตซ์ อาจจะมากหรือน้อยกว่าก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องซื้อซีพียูตัวใหม่ และเสียเงินเสียทองในการโอเวอร์คล็อกแต่อย่างใด แต่เมื่อจะเริ่มโอเวอร์คล็อกเรามารู้หลักการและคำศัพท์กันก่อน<br />คำศัพท์ที่ต้องรู้จักก่อนการโอเวอร์คล็อก<br />Front Side BUS<br />เรียกกันสั้น ๆ ว่า FSB หรือบัสก็ได้ ซึ่งหมายถึง เส้นทางการส่งข้อมูลของลายวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่ง FSB นั้น จะส่งข้อมูลและทำงานไปพร้อมๆ กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ซีพียู หน่อยความจำ และสล็อตต่างๆ บนเมนบอร์ด อย่างเช่นสล็อต AGP , PCI ซึ่ง FSB สัญญาณนาฬิการที่เราเรียกกันว่าความถี่ ที่อุปกรณ์แตะละตัวก็จะมีแตกต่างกันออกไป ซึ่ง FSB จะเป็นตัวควบคุมจังหวะการทำงาน ว่าจะรับหรือจะส่งจังหวะเร็วก็ส่งเร็วเมื่อจังหวะช้าก็ส่งช้า เป็นต้น<br />Multiplier (ตัวคูณ)<br />ซีพียูทุกตัวทั้งซีพีจากค่าย lnter หรือ AMD ต่างก็มีตัวคูณอยู่ในตัวซีพียูอยู่แล้วซึ่งซีพียูแต่ละตัวจะมีตัวคูณที่ไม่ เท่ากันเช่น AMD Athlon XP 2500+ ใช้ตัวคูณ 11.0xและใช้ FSB 166 เมกะเฮิรตซ์(11x166=1826 เมกะเฮริตซ์) แต่ละส่วน AMD Athlon64 3200+ ใช้ตัวคูณ 10.0x แต่ใช้ FSB 200 เมกะเฮิรตซ์ (10x200=2000 เมกะเฮริตซ์) จะเห็นว่าซีพียูแต่ละตัวก็ใช้ FSB ที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกันครับ แต่ในทางโอเวอร์คล็อกซีพียู บางตัวเปลี่ยนค่าตัวคูณได้ ( AMD) และซีพียู บางตัวก็เปลี่ยนคูณไม่ได้ (lntel) ซึ่งการเพิ่มตัวคูณนั้นจะไม่มีผลการทบต่ออุปกรณ์รอบข้างแต่อย่างใด แต่นั้น อย่าไปสับสนกับ FSB นะครับ<br />Vcore<br />หมายถึงไฟที่ใช้เลี้ยงซีพียูและแน่นอนครับว่าเราสามารถที่จะเพิ่มไฟเลี้ยง ให้กับซีพียูได้ ซึ่งซีพียูทุกตัวต่างก็มีไฟเลี้ยงในตัวเอง และใช้ไฟเลี้ยงที่แตกต่างกันออกไปอีก เช่น lntel Celeron D Processor 330 2.66 กิกะเฮิรตซ์ ใช้ไฟเลี้ยง 1.4 โวลต์ และ AMD Atlon64 FX-53 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ใช้ไฟเลี้ยง 1.6 โวลต์ แต่ในทางเทคนิคของการ โอเวอร์คล็อกนั้น การที่เราเพิ่มไฟเลี้ยงให้กับซีพียูสูงๆ จะทำให้สามารถโอเวอร์คล็อกได้สูงๆ ด้วนเช่นเดียวกัน เพราะซีพียูทำงานหนักขึ้น ก็ต้องใช้พลังงานที่มากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการระบายความร้อนให้กับซีพียูอีกด้วยส่วนผลเสียก็คือ เมื่อเราเพิ่ม Vcore มากจนเกินไป แล้วเราไม่ได้ความคุมระบบระบายความบนตัวซีพียูให้ดี ซีพียูของคุณอาจจะไหม้ หรือลาโลกไปเลยก็เป็นได้<br />Vmem, VDD<br />เป็นไฟเลี้ยงที่ป้อนให้กับหน่วยการความจำ ซึ่งหน่วยความจำ DDR1 ทั่วนั้นจะมีกำลังไฟเลี้ยงที่ 1.6 โวลต์ แต่ถ้าเป็นDDR2 ก็จะมีไฟเลี้ยง 1.4 โวลต์ หลักในการเพิ่มไฟเลี้ยงก็จะคล้ายคลึงกับ Vcore ยิ่งไฟเลี้ยงเยอะเท่าไรก็จะทำให้เราโอเวอร์คล็อกแรมที่ความถี่สูง ๆ เยอะเท่านั้น ทั้งนี้ก็อยู่อยู่กับคุณภาพของแรมด้วยว่าจะรับความถี่สูง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด อีกอย่าก็คือการระบายความที่ดีด้วย VIO<br />นี่คือไฟเลี้ยงที่ป้อให้กับซิปเซต ซึ่งส่วนมากแล้วเมนบอร์ดที่สามารถปรับแต่งค่านี้ได้จะเป็นเมนบอร์ดที่ออกแบบ มาสำหรับการโอเวอร์คล็อกจริงๆ อย่างเช่นเมนบอร์ดจาก ABIT,DFI,MSI,และ ASUS เป็นต้น ซึ่งสามารถปรับ VIO ให้กับซิพเซ็ตได้อีกด้วย<br />Cas latency<br />เรียกกันสั้นๆ ว่า CL หรือ Timing ก็ได้ครับ คืออัตราการรีเฟรซข้อมูลของแรมในหนึ่งลูกคลื่น ซึ่งการรีเฟรชข้อมูลในหน่วยความจำบ่อย ๆ หรือ CL น้อย ๆ จะทำให้แรมทำงานได้เร็ว เนื่องจากใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลสั้นลง ซึ่งค่า CL นั้นจะเป็นตัวเลขที่ต่อท้าย 4 ตัวของแรม เช่น แรมยี่ห้อ Corsair DDR XMS 512 MB PC3200 2-7-3-3 จะเป็นค่าของเวลาที่แรมจะทำการหน่วงข้อมูลแล้วส่งต่อไปยัง Chipset และ Chipset ก็จะประมวลผลอีกที (ถ้าค่า CL ยิ่งต่ำเท่าไรแรมก็จะส่งข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น)<br />AGP/PCI<br />หมายถึง ความเร็วของการ์ดแสดงผลที่เป็นอินเทอร็เฟช AGP ที่มีความเร็ว 66 เมกะเฮิรตซ์ และความเร็วของอุปกรณ์ PCL ที่มีความเร็ว 33 เมกะเฮิรตซ์ ค่า 2 ค่านี้จะเปลี่ยนตาม FSB ซึ่งหากเมนบอร์ดปรับอัตราทดได้แล้วนั้น ค่า AGP/PCI จะทำงานที่ความเร็วดังในตาราที่แสดงอยู่ แต่เมนบอร์ดบางรุ่นสามารถที่จะกำหนดความถี่ให้กับความเร็วของ AGP/PCI เมื่อเราปรับ FSB ให้สูงขึ้น<br />การโอเวอร์คล็อกสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ<br />1. โอเวอร์คล็อกแบบปรับ FSB อย่างเดียว<br />แบบนี้เป็นการเพิ่มความถี่ของ FSB ให้มากขึ้น แล้วความเร็วของซีพียูจะเปลี่ยนไปตามค่าความถี่ที่เราเปลี่ยนไป จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวคูณของซีพียูนั้นจะมีมานชกน้อยเพียงใด เช่น ปกติซีพียูทำงานที่ความเร็ว 1000 เมกะเฮิรตซ์ หรือ 10x100= 1000 เมกะเฮิรตซ์ จากนั้นเมื่อทำการเปลี่ยนตาม คือ 10x133=1330 เมกะเฮิรตซ์ นั่นเอง โดยเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ทุกวันนี้จะกำหนดค่าของ FSB ได้ ซึ่งค่า FSB ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเร็วอื่น ๆ (ค่าความถี่ของอุปกรณ์อื่นๆไม่สูงตาม FSB) นั้นก็คือ FSB133,166 และ 200เมกะเฮิรตซ์ กล่าวคือ ถ้าเราใช้งานที่ FSB ดังกล่าวแล้ว AGP/PCI จะทำงานปกติที่ 66/33 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งไม่มีผลเสียใด ๆ<br />• ผลเสียของการโอเวอร์คล็อกแบบปรับ FSB<br />คือจะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ ทำงานผิดไปจากเดิม เนื่องจาก FSB ของระบบเปลี่ยนไป เนื่องจากอุปกรณ์ทุกอย่างเสียบลงบนเมนบอร์ด แล้ว FSB ของระบบเปลี่ยนไปอุปกรณ์อื่นๆ ก็ต้องทำงานแล้ว หรือช้าตาม FSB นั้นตามไปด้วย แต่ปัญหานี้แก้ได้ไม่ยากครับ ถ้าเมนบอร์ดของท่านปรับอัตราทด AGP/PCI ได้ หรือกำหนดค่าได้นั้น ก็จะทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วเดิมแม้ FSB จะเปลี่ยนไปตามก็ตาม<br />2. การโอเวอร์คล็อกแบบปรับตัวคูณอย่างเดียว<br />เป็นวิธีที่บ่ายที่สุดแต่สามารถทำได้กับซีพียูจากค่าย AMD เท่านั้นยกตัวอย่างเช่น ปกติเรามีความเร็วซีพียูที่ 1000 เมกะเฮิรตซ์<br />(10x100=1000 เมกะเฮิรตซ์) จากนั้นเราทำการปรับตัวคูณ CPU จาก 10 เป็น 12 เราก็จะได้ความเร็ว CPU ใหม่เป็น 12x100=1200 เมกะเฮิรตซ์ นั้นเอง หรืออาจจะปรับขึ้นไปพร้อม ๆ กับการเพิ่ม Vcore ก็ได้ครับ แต่จะขอให้ค่อย ๆ ปรับขึ้นไปทีละขั้นๆ ไป อย่าใจร้อนปรับแบบก้าวกระโดด<br />• ผลเสียของการโอเวอร์คล็อกแบบปรับตัวคูณ<br />จะทำให้ CPU เร็วขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ระบบโดยรวม หรือความถี่ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วเท่าเดิม<br />3. โอเวร์คล็อกแบบปรับ FSB และ ตัวคูณ ไปพร้อมๆ กัน<br />การโอเวอร์คล็อกด้วยวิธีนี้ ถือว่าเป็นการโอเวอร์คล็อกเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ทั้งความเสถียรของระบบและความเร็ว เพราะจะทำให้ระบบโดยรวมทำงานได้เร็วสูสีกันไป ไม่ใช่ว่าเร็วเฉพาะซีพียูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น<br />การระบายความร้อนก็มีผลต่อการโอเวอร์คล็อก<br />พูดถึงความร้อนของอุปกรณ์ภายในเครื่องให้ไฟฟ้าภายในบ้านก็มีทั้งนั้นแหละ ครับ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น แต่คอมพิวเตอร์นี่สิปกติก็มีความร้อนออกมาอยู่แล้ว ยิ่งถ้าโอเวอร์คล็อกแบบอัด Vcore,Vmem เพิ่มไฟต่างๆ แล้วละก็ ความร้อนมีผลอย่างมากในการที่เราจะโอเวอร์คล็อก ดังนั้นเราควรดูแลและความคุมอุณหหภูมิมิให้อยู่ในระดับที่ไม่อันตรายจะเกิน ไป ซึ่งอุณหภูมิดังกล่าวจะไม่เกิน 60 องศา นี่เป็นอุณหภูมิที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อตัวซีพียู แต่ถ้าโอเวอร์คล็อกแล้วละก็สมควรอย่างยิ่งที่จะควบคุมให้อุณหภูมิไม่ถึง 40-50 องศา ทั้งนี้ก็เพื่อความเสถียรในการทำงานครับ<br />ปัจจัยที่มีผลต่อการโอเวอร์คล็อกที่ต้องรู้ไว้<br />เวลาโอเวอร์คล็อกขอให้ค่อยๆ ปรับขึ้นไปเป็นระดับขั้น อย่าใจร้อนและปรับแบบก้าวกระโดด<br />• ซีพียูทุกตัวจะสามารถโอเวอร์คล็อกขึ้นไปได้ไม่เท่ากันแม้ว่าจะเป็นรุ่นเดียว กันก็ตาม การระบายความร้อนที่ดี ส่งผลให้ระบบและซีพียูเย็นตามกันไปด้วย และจะสามารถโอเวอร์คล็อกไปที่ความเร็วสูงๆได้โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติ<br />• เมนบอร์ดที่ดีจะมีฟังก์ชันในการโอเวอร์คล็อกที่ครบครันสามารถปรับและกำหนดค่าต่างๆ ได้ทั้งหมด<br />• Vcore ยิ่งเพิ่มมากยิ่งโอเวอร์คล็อกไปได้มากเช่นเดียงกัน<br />• หน่วยความจำ (RAM) ที่ดีต้องรับกับความถี่และ FSB สูงๆ ได้และมีค่า Timing ต่ำๆ<br />• ปัจจัยอื่นๆ เช่นอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่อง ต้องรู้ว่ารับกับความถี่สูงๆ ได้ไหมและดูองค์ประกอบโดยรวมไปถึงระบบระบายความร้อนให้ซิปต่างๆ บนเมนบอร์ด Vmem,VIO และอุณหภูมิของห้อง<br />ผลเสียของการ Overclock<br />• ทำให้ซีพียูทำงานหนักขึ้น เนื่องจากเกินจากสเปกเดิมที่ทางรงงานได้ผลิตมา ส่งผลให้ซีพียูมีอายุในการทำงานที่สั้นลงประมาณ 10% แต่อย่าลืมว่าซีพียูในปัจจกุบันออกมากันอย่างรวดเร็วจะเสียดายไปทำไมล่ะครับ (หมายความว่ายังไงก็ตกรุ่นเร็วอยู่แล้ว ก่อนทิ้งไปใช้ของใหม่ก็เอาตัวเก่ามาซ้อมมือก็ได้)<br />• อุปกรณ์โดยรวมที่เราได้โอเวอร์คล็อกแบบปรับ FSB ขึ้นไป ก็จะส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่เสียบอยู่บนเมนบอร์ดด้วย อาจเกิดปัญหาในการทำงานได้ แต่ถ้ารู้ว่าจุดไหนบ้างที่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะรับมือได้อย่างสบาย<br />• อุปกรณ์ที่จะนำมาร่วมโอเวอร์คล็อกให้ได้ประสิทธิภาพ มีราคาที่แพงกว่าปรกติอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นธรรมดาครับ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น บอกได้เลยว่าเกินคุ้คุ้ม<br />• ต้องคอยดูแลและตรวจเช็คระบบอย่างสม่ำเสมอ ว่าอุปกรณ์แต่ละตัวยังทำงานปกติหรือไม่ ๆ<br />เมื่อเราทราบถึงหลักการของการโอเวอร์คล็อกกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถโอเวอร์คล็อกซีพียูได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เท่าที่เมนบอร์ดของแต่ละตัวที่ใช้จะสนับสนุนให้ปรับแต่งได้มากน้อยเพียงใด และการโอเวอร์คล็อกก็ไม่ได้หยุดแต่ตัวซีพียูนั้น การ์ดแสดงผลก็ยังสามารถที่จะโอเวอร์คล็อกขึ้นไปได้อีกด้วย .....freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-37147481722165638612009-07-10T07:19:00.000-07:002009-07-10T18:45:03.292-07:00Tip ป้องกันจากวิธีการโจมตีของแฮกเกอร์<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIXIxO4NAxLUCmGIHDMLW-UJSfNnPzSP79DKKaZNVSjhVfcG4AheBggWhVWYI0sbNnIigS_5c1pldnw6LJM-syrpEBBOB8lQjptaMxMgsCH0zoqv6uLb_m2sMLuievxIoUB2Ikrt6Jl34W/s1600-h/The.Matrix.glmatrix.3.png"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 280px; height: 206px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIXIxO4NAxLUCmGIHDMLW-UJSfNnPzSP79DKKaZNVSjhVfcG4AheBggWhVWYI0sbNnIigS_5c1pldnw6LJM-syrpEBBOB8lQjptaMxMgsCH0zoqv6uLb_m2sMLuievxIoUB2Ikrt6Jl34W/s320/The.Matrix.glmatrix.3.png" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357012397936266530" border="0" /></a><br /><span style="font-size:100%;">ปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัว<br />วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี<br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">- </span>Packet Sniffers<br />คือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดักข้อมูล สำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)<br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">-</span> IP Spoofing<br />เป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือข่าย เพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้<br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">-</span> Denial-of-Service (Dos)<br />ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์<br />เราสามารถตั้งค่า Firewall ได้ตามดังขั้นตอนต่อไปนี้<br />1. คลิกที่ปุ่ม Start > Settings > Network Connections<br />2. เลือกไปที่ตัวเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เราใช้งาน<br />3. คลิกขวาที่ไอคอนนั้น ๆ แล้วเลือก Properties<br />4. เลือกแท็บ Advance<br />5. ถ้าเลือกคลิกเมาส์ถูกที่ Protect my computer and network .. จะเป็นการป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถ้าไม่ต้องการ ป้องกันอะไรก็ให้เอาเครื่องหมายถูกออก<br />6. เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้วให้คลิก ok<br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">-</span> Brute-Force Attack เป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ<br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">-</span> การโจมตีแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบางส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วละครับละครับ...</span>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-74903285390624374202009-07-09T00:03:00.000-07:002009-07-10T19:39:17.979-07:00Tip ตรวจสอบคอมคุณลง Windows 7ได้ไหม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRKvO6q_bZ7bDAXk-gjp6pqDE0KbuMtwn59ZZqn_6quOnHYLueZi0w0oG1lQFcGQoHwizqx3LznZR0cCtYUQ381-z0UnBRr01MONY9MYLVaohN3GN0cHgPhpLcgz59DltrGsh8PzrUfUj-/s1600-h/windows-7-ready-tookit-for-corp.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 100px; height: 80px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRKvO6q_bZ7bDAXk-gjp6pqDE0KbuMtwn59ZZqn_6quOnHYLueZi0w0oG1lQFcGQoHwizqx3LznZR0cCtYUQ381-z0UnBRr01MONY9MYLVaohN3GN0cHgPhpLcgz59DltrGsh8PzrUfUj-/s320/windows-7-ready-tookit-for-corp.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356354170037898322" border="0" /></a><br />พีซีของคุณลง Windows 7 แล้วจะรันได้ หรือไม่? และถ้าติดตั้งไปแล้วคุณจะพบกับฝันร้าย หรือเปล่า?" คำถามเหล่านี้จะหมดไป เมื่อไมโครซอฟท์ได้ออกซอฟต์แวร์ตรวจสอบความพร้อมของพีซีว่ามีความเหมาะสมต่อ การใช้งานโอเอสอย่าง Windows 7 หรือไม่ อย่างไร เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วโลกที่สนใจได้ดาวน์โหลดไปลองทดสอบความพร้อมของเครื่องตัวเองกันแล้ว ก็เพื่อให้เรามั่นใจว่าเราติดตั้งลงไปแล้วสามารถใช้งานWindows 7ได้ 100%นั้นเองครับ<br /><br /><a href="http://www.microsoft.com/windows/windows-7/upgrade-advisor.aspx" target="_blank"><strong>Windows 7 Upgrade Advisor</strong></a> เวอร์ชันทดลองที่ทางไมโครซอฟท์จัดทำขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปโลกนำไปตรวจสอบความพร้อมขององค์ประกอบต่างๆ ของพีซีในการอัพเกรดระบบปฎิบัติการเป็น Windows 7 ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวจะวิเคราะห์พีซีของผู้ใช้ตั้งแต่ชิปประมวลผล หน่วย ความจำ ฮาร์ดดิสก์ และโพรเซสเซอร์กราฟิก โดยจะให้คำตอบกับผู้ใช้ว่า พีซีของคุณจะรัน Windows 7 ได้หรือไม่ โดยอัตโนมัติ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjG-E1_xc0-XjXatYFfjegN-9h28sGLB5scmmC_Guo4AK2pS5UudvCVThWuTM9Eq8Dm3jaihrPexSbavfR8YZaQz8H17igU0BY3uFunqN0YSnkB2UW3x9knM_8hpctze3gLWispaYqvKuNo/s1600-h/windows-7-upgrade-advisor+1.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjG-E1_xc0-XjXatYFfjegN-9h28sGLB5scmmC_Guo4AK2pS5UudvCVThWuTM9Eq8Dm3jaihrPexSbavfR8YZaQz8H17igU0BY3uFunqN0YSnkB2UW3x9knM_8hpctze3gLWispaYqvKuNo/s320/windows-7-upgrade-advisor+1.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356353646418154082" border="0" /></a><br />"สำหรับ ผู้ใช้ที่ต้องการอัพเกรดระบบปฎิบัติการบนพีซีเครื่องเดิม ส่วนใหญ่ก็จะมีคำ ถามว่า พีซีของพวกเขาสามารถใช้งานกับระบบปฏิบัติการตัวใหม่ได้หรือไม่?" แบรนดอน เลอบลังค์ บล็อกเกอร์ภายในของไมโครซอฟท์ โพสต์ข้อความดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่าน มา "ไมโครซอฟท์มีแผนที่จะแจกจ่ายเครื่องมือที่สามารถระบุได้ทันทีว่า พีซีของผู้ใช้สามารถรัน Windows 7 ได้ หรือไม่?" ซึ่ง <a href="http://www.microsoft.com/windows/windows-7/upgrade-advisor.aspx" target="_blank"><strong>Windows 7 Upgrade Advisior</strong></a> เวอร์ชันทดลองได้เปิดให้ดาวน์โหลดได้แล้วจากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ อย่างไรก็ดี เลอบรังค์ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เวอร์ชันสมบูรณ์ของทูลส์ตัวนี้จะเสร็จเมื่อไร?<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjV66i1aCR9ydAgzPzt6fxwkgZjdWe8Rfg4KXd2ejY0mUIMuCVF4Tn6BEMWMEUhfNPlzlM2vy97DXVzepc00VBI95F5Ua2bNI7buRP4a1ahvjvduBMeycQ59RmVWqLEyFQM_RVN2W5kNRDp/s1600-h/windows-7-upgrade-advisor+2.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 247px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjV66i1aCR9ydAgzPzt6fxwkgZjdWe8Rfg4KXd2ejY0mUIMuCVF4Tn6BEMWMEUhfNPlzlM2vy97DXVzepc00VBI95F5Ua2bNI7buRP4a1ahvjvduBMeycQ59RmVWqLEyFQM_RVN2W5kNRDp/s320/windows-7-upgrade-advisor+2.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356353884291227714" border="0" /></a><br />จากข้อความที่เลอบรังค์ได้โพสต์ไว้ในบล็อกระบุว่า <a href="http://www.microsoft.com/windows/windows-7/upgrade-advisor.aspx" target="_blank"><strong>Windows 7 Upgrade Advisior</strong></a> จะวัดความพร้อมของพีซีในการอัพเกรดไปใช้ Windows 7 โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการระบบขั้นต่ำสำหรับพีซีทีใช้รัน Windows 7 ดังนี้<br /><br />* โพรเซสเซอร์ x86 ขนาด 32 บิต หรือ 64 บิต(x64) ความเร็ว 1GHz ขึ้นไป<br />* หน่วยความจำอย่างน้อย 1GB สำหรับ 32 บิต และ 2GB สำหรับ 64 บิต<br />* พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 16GB (เวอร์ชัน 32 บิต) และ 20GB (เวอร์ชัน 64 บิต)<br />* โพรเซสเซอร์กราฟิกรองรับไดรเวอร์ DirectX 9 พร้อมด้วยไดรเวอร์แสดงผล WDDM(Windows Display Drive Model)1.0 หรือสูงกว่า<br /><span style="color: rgb(51, 102, 255);">โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:180%;" ><span style="font-weight: bold;">เรื่องที่เกี่ยวข้อง</span></span><br /><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/07/microsoft-windows-7.html">Microsoft เผยราคา Windows 7 ให้เราเตรียมตังค์ใว้</a></span></h3><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/07/tip-windows-7-shortcut-recycle-bin.html">Tip Windows 7: สร้าง Shortcut ของ Recycle Bin ไว้ที่ Taskbar</a></span></h3><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/free-window-7-theme-for-xp-xp.html">Free Window 7 Theme for XP ทีมสวยๆสำหรับวินโดว์ xp</a></span></h3><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/winodws-7vienna-transformation-pack.html">Winodws 7/Vienna Transformation Pack Features</a></span></h3><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/tip-new-windows-7-windows-7.html">Tip New Windows 7 มีอะไรใหม่ใน Windows 7</a></span></h3><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/cpu-intel-core-i7.html">CPU Intel core i7 รุ่นใหม่ แรงๆ มาดูราคากันครับ</a></span></h3><h3 class="post-title entry-title"><span style="font-size:78%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/desktop-windows-7-desktop.html">Desktop Windows 7 desktop</a></span></h3>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-58119367902596102522009-07-08T23:40:00.000-07:002009-07-08T23:54:59.337-07:00Tip Firefox 3.5 ตัวเต็มที่ยังไม่สมบูรณ์มีบั๊ก 55 แห่ง<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNAooSDWjgN4oZk9czo0vEKlMFqHLtNig_9XUrOWODQjjI145udNbkdaGlEyX0trkO4rIYlfP1xKxSZFce7BWMded7MSfpM4yZ1zPLeVWAn76sP3iKKR98ZTgBJiiumnq07veUQ8RZIYlr/s1600-h/timthumb.php.jpeg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 150px; height: 150px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNAooSDWjgN4oZk9czo0vEKlMFqHLtNig_9XUrOWODQjjI145udNbkdaGlEyX0trkO4rIYlfP1xKxSZFce7BWMded7MSfpM4yZ1zPLeVWAn76sP3iKKR98ZTgBJiiumnq07veUQ8RZIYlr/s320/timthumb.php.jpeg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356347857707873074" border="0" /></a><br />รายงานข่าวแจ้งว่า ทีมพัฒนาของโมซิลล่ากำลังเร่งพัฒนาเวอร์ชันอัพเดตเป็นการเร่งด่วนสำหรับ Firefox 3.5 บราวเซอร์รุ่นล่าสุด ซึ่งจะเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดของการทำงานอย่างน้อย 3 แห่งจากทั้งหมด 55 แห่ง โดยคาดว่าอัพเดดังกล่าวจะออกได่ประมาณกลางเดือนถึงปลายเดือนกรกฎาคม <p style="color: rgb(51, 51, 255); font-style: italic;"><span style="font-size:130%;">สำหรับ Firefox 3.5.1 จะมีกำหนดการออกประมาณกลางเดือนถึงปลายเดือนนี้ โดยจะเป็น<strong><em>การ แก้ไขข้อผิดพลาดการล่มการทำงานของบราวเซอร์เนื่องจากกลไก JavaScript ของ TraceMonkey การเข้ารหัสภายใต้ระบบปฏิบัติการ Windows XP และฟิล์ด์แก้ไขข้อความไม่เชื่อมต่อการทำงานกับชุดตัวอักษร Arabic </em></strong>อย่างไรก็ตาม ทางไฟร์ฟอกซ์ยังไมได้ตัดสินใจลงไปชัดเจนว่า เวอร์นชัน 3.5.1 จะเป็นการอัพเดตครั้งใหญ่ หรือจะยกยอดไปเป็น 3.5.2</span></p><p>แล้ว ทำไม Firefox 3.5 ถึงรีบออกมาทั้งๆ ที่มีรายงานพบบั๊กมากมายถึง 55 แห่งด้วยกัน ข่าววงในระบุว่า เหตุผลสำคัญก็คือ ตารางการออกของบราวเซอร์ที่ต้องเป็นไตรมาสที่สอง และทางโมซิลล่าเองก็มองว่า Firefox 3.5 มีสเถียรภาพการทำงานที่แข็งแรงพอแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจปลอ่ยออกมาในวนที่ 30 มิถุนยน (วันสุดท้ายของไตรมาสที่สองพอดี) ขณะเดียวกัน โมซิลล่าเองก็ได้กำลังเตรียมอัพเดตสำหรับ Firefox 3.0 ซึ่งมีกำหนดการคลอด Firefox 3.0.12 ในวันที่ 21 กรกฎาคม และ Firefox 3.0.13 จะมีกำหนดออกในวันที่ 1 กันยายน ศกนี้ </p><p>ข้อมูลขณะรายงานข่าว เช้านี้ ยอดดาวน์โหลดของ Firefox 3.5 ทะลุ 8.9 ล้านครั้งแล้ว อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางโมซิลล่าได้ออก Firefox 3.6 pre-alpha1 มาแล้วด้วย โดยเวอร์ชันนี้จะมีกำหนดการออกในช่วงกลางปี 2010 และอาจจะเรียกว่า Firefox 4.0 ก็ได้ (โค้ดเนม "Namoroka") ทั้งนี้เวอร์ชันใหม่จะยังคงโฟกัสในเรื่องของประสิทธิภาพความ เร็วที่เพิ่มขึ้น การใช้งานที่ง่าย และการปรับแต่งการทำงานยืดหยุ่นกว่าเดิม โดยเฉพาะการท่องเว็บ และการสนับสนุนเว็บแอพลิเคชันที่จะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับระบบปฏิบัติ การมากขึ้น ทางโมซิลล่าคุยว่า มันจะเร็วในระดับที่ผู้ใช้รู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแท็บ โหลดหน้าเว็บที่อยู่ในบุ๊กมาร์ค ระบบเติม URL ให้สมบูรณ์โดยอัตโนมัติ หรือการเล่นคอนเท็นต์มัลติมีเดีย แอนิเมชั่น และเทคนิคในการโต้ตอบการทำงานที่จะลดอาการหน่วงต่างๆ ทีเกิดขึ้นระหว่างที่มีการตอบสนองการทำงาน </p>โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th<br /><br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" ><span style="font-weight: bold;">เรื่องที่เกี่ยวข้อง<br /></span></span><h3 style="color: rgb(51, 51, 255);" class="post-title entry-title"><span style="font-size:65%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/07/firefox-35.html">Firefox 3.5 ผลทดสอบเจ้าความแรง</a></span></h3><h3 style="color: rgb(51, 51, 255);" class="post-title entry-title"><span style="font-size:65%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/firefox-35.html">Firefox 3.5 ตัวเต็มมาแล้วครับ</a></span></h3><h3 style="color: rgb(51, 51, 255);" class="post-title entry-title"><span style="font-size:65%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/firefox-3011-4.html">อัพเดตFirefox 3.0.11 อุด 4 ช่องโหว่ร้ายแรง</a></span></h3><h3 style="color: rgb(51, 51, 255);" class="post-title entry-title"><span style="font-size:65%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/firefox-35-rc2.html">Firefox 3.5 RC 3 เวอร์ชันทดสอบได้ทุกแพลตฟอร์ม</a></span></h3><h3 style="color: rgb(51, 51, 255);" class="post-title entry-title"><span style="font-size:65%;"><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/2009/06/firefox.html">มาจูน Firefox เพื่อให้ประสิทธิภาพขั้นเทพ</a></span></h3>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-80178228504709342952009-07-08T07:19:00.000-07:002009-07-08T07:34:30.650-07:00Tip เสียงปี๊บจาก Mainboard บอกอะไรเรา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjW1QaMNrzNopqcxG-3a04DwYvreo4tLpfPleVlvc64IQUBu-cdyNKyyyl4DcbqIABzHQvy2ZvXsYGUI_TbHNiO48RakC6BTFfdpxy75u67Ur8vprZfWA1XGDO-58memw6aPjBnGVQ-mzg_/s1600-h/mainboard1.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 283px; height: 250px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjW1QaMNrzNopqcxG-3a04DwYvreo4tLpfPleVlvc64IQUBu-cdyNKyyyl4DcbqIABzHQvy2ZvXsYGUI_TbHNiO48RakC6BTFfdpxy75u67Ur8vprZfWA1XGDO-58memw6aPjBnGVQ-mzg_/s320/mainboard1.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356094997383608274" border="0" /></a><span style="font-size:130%;"><br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);">เสียงดัง 1 ครั้ง</span></span><br />แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอน Post เป็นปกติ<br /><span style="font-size:130%;"><span style="color: rgb(51, 51, 255);">เสียงดัง 2 ครั้ง</span></span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 3 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดังต่อเนื่อง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแหล่งจ่ายไฟ เช่น เพาเวอร์ซัพพลาย หรือเมนบอร์ดอาจมีปัญหา ให้ตรวจสอบ เพาเวอร์ซัพพลาย และเมนบอร์ด<br /><br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดังถี่ๆ</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนเมนบอร์ด ให้ตรวจสอบสายสัญญาณต่างๆและตัวเมนบอร์ด<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 6 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของคีย์บอร์ด ให้ตรวจสอบคีย์บอร์ด<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 7 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 8 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล (VGA) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดังยาว 1 สั้น 2</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล (VGA) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 9 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 10 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >เสียงดัง 11 ครั้ง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >ไม่มีเสียง</span><br />แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของ เพาเวอร์ซัพพลาย, เมนบอร์ด หรือซีพียู รวมถึงสายสัญญาณและสายไฟต่างๆ<br />แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่รู้ว่าMainboardรุ่นใหม่ๆที่ออกมาจะใช้เสียงปิ๊บได้เหมือนกันทุกรุ่นหรือเปล่านะครับอันนี้ขึ้นกับไบออสที่Mainboardครับในนี้ได้จะแสดงเสียงปิ๊บของไบออสยี่ห้อยอดนิยม Award และ AMI ครับ<br /><p></p>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-53979678989561246352009-07-08T06:53:00.000-07:002009-07-08T07:14:47.531-07:00Tip การซ่อม-ตรวจสอบแฟลชไดรฟ์ที่คุณคิดว่าเสีย<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEtGFV8USEeR__pW9TQoYqVLcnx9DxCj8maMgIsUpKH8PtzOXVGjsrSkI6EFwoWNg73A0byB-z34MNXs6spBpycIgAt_BI2xo2EZfh-6LzgAe29HnolM42asRsOhfLF2lc9_x8rie1DvCs/s1600-h/1_resize.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 320px; height: 298px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEtGFV8USEeR__pW9TQoYqVLcnx9DxCj8maMgIsUpKH8PtzOXVGjsrSkI6EFwoWNg73A0byB-z34MNXs6spBpycIgAt_BI2xo2EZfh-6LzgAe29HnolM42asRsOhfLF2lc9_x8rie1DvCs/s320/1_resize.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356091482342051922" border="0" /></a><br /><p>จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมีธัมบ์ไดรฟ์ หรือแฟลชไดรฟ์ไว้สำรองข้อมูลกันแทบทุกคนอย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่า หน่วยความจำสำรอง ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ หรือโซลิดสเตท ก็ไม่อาจหนีสัจธรรมที่ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง สังขารไม่เที่ยง แฟลชไดรฟ์ก็มีโอกาสที่จะพัง หรือเกิดข้อผิดพลาดจนใช้การไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่โอกาสน้อยกว่าฮาร์ดไดรฟ์เท่านั้น พวกเราเคยฟังเรื่องของการกู้ข้อมูล หรือคืนชีพให้ฮาร์ดดิสก์ด้วยวิธีต่างๆ มามากแล้ว ตั้งแต่ใช้ซอฟต์แวร์แก้ไขไปจนถึงแช่ตู้เย็น ??? แต่มีวิธีคืนชีพแฟลชไดรฟ์มาฝากเพื่อนๆ ครับ</p> <p>ปัญหาแฟลชไดรฟ์เดี๊ยงในลักษณะที่พอจะเยียวยาได้ สาเหตุ และอาการที่พบก็คือ ในขณะที่ต่อธัมบ์ไดรฟ์ถ่ายโอนไฟล์อย่างเมามันอยู่นั้น จู่ๆ Windows XP ก็แช่แข็งตัวเองซะงั้น พอบูตเครื่องเสร็จ My Computer ตรวจพบว่า ธัมบ์ไดรฟ์มีความจุเหลือ 0 เมกะไบต์ แม้จะพยายามฟอร์แมตมันใหม่ก็ไม่สำเร็จ...หรือจะซื้อของใหม่ไปเลย</p> <p>อย่างไรก็ตาม ก่อนด่วนตัดสินใจทำเช่นนั้น อยากให้ลองใช้วิธีต่อไปนี้ดูก่อนจะดีไหมครับ อย่างน้อยจะได้ถือว่า พยายามแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้</p> <ol><li>ดาวน์โหลด และติดตั้งยูทิลิตีชื่อว่า HP Drive Key Boot ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้<span style="text-decoration: underline;">ด้านล่างนี้</span>ดับเบิลคลิ้กไอคอนโปรแกรมบนเดสก์ทอป เลือกแฟลชไดรฟ์ที่ต้องการซ่อม ภายใต้เซ็กชัน Device </li><li>เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการฟอร์แมตให้กับไดรฟ์ ซึ่งได้แก่ FAT, FAT32 หรือ NTFS </li><li>เลือกเช็กบ็อกซ์ Quick Format </li><li>คลิ้กปุ่ม Start ของโปรแกรม </li></ol> <p>หลังจากฟอร์แมตเสร็จแล้ว ทดลองใช้งานดูนะครับ ซึ่งถ้ายังไม่ได้ ให้เพื่อนๆ ทดลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้</p> <ol><li>เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ตยูเอสบี </li><li>เรียกโปรแกรม HP Drive Key Boot Utility ภายใต้โฟลเดอร์ HP System Tools </li><li>โปรแกรมจะแนะนำขั้นตอนการแฟลชเฟิร์มแวร์ ตลอดจนการทำให้บูตได้ เพียงแค่คลิ้กตามขั้นตอนของมันเท่านั้นครับ </li></ol> <p>ในระหว่างที่โปรแกรมสอบถามเกี่ยวกับแฟลชไดรฟ์ จะมีการร้องขอให้เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่แฟลชไดรฟ์ใช้อยู่ (E:, F:…) ถ้าดรอปดาวน์ของโปรแกรมไม่มีการแสดงชื่ออักษรของแฟลชไดรฟ์ออกมา นั่นอาจหมายความว่า แฟลชไดรฟ์เสียบไม่แน่น หรือเป็นแฟลชไดรฟ์ที่โปรแกรมมองว่าเป็นชนิด “fixed disk” วิธีตรวจสอบว่า แฟลชไดรฟ์ของเพื่อนอยู่ในสถานะใด สามารถทำได้โดยดับเบิลคลิ้กบนไอคอน My Computer บนเดสก์ทอป คลิ้กขวาบนไอคอนของแฟลชไดรฟ์ตัวปัญหา เลือกคำสั่ง Properties ชนิดของไดรฟ์จะแสดงขึ้นมา ถ้าไดรฟ์ถูกระบุว่า เป็น “fixed disk” หรือ “local disk” ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการกำหนดชื่ออักษรไดรฟ์ (drive letter) ให้กับแฟลชไดรฟ์ของคุณ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่อไปนี้ก่อน จึงจะไปใช้ HP Drive Key Boot Utility ได้ครับ รายละเอียดมีดังนี้</p> <ol><li>เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ต USB </li><li>ล็อกอินระบบเป็น Administrator </li><li>เลือก Start -> Control Panel -> Administrative Tools -> Computer Management </li><li>เลือก Computer Mangagement (local) -> Storage -> Disk Management (local) </li><li>เลือก Change/Add Drive Letter สำหรับแมปดิสก์ให้กับแฟลชไดรฟ์ </li><li>เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่ต้องการ </li></ol> <span style="color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" ><span style="font-weight: bold;">DOWNLOAD Programs</span></span><br /><a href="http://h20000.www2.hp.com/bizsupport/TechSupport/SoftwareDescription.jsp?lang=en&cc=us&mode=3&taskId=135&swItem=MTX-UNITY-I23839" target="_blank"><img src="http://kridontree.wordpress.com/files/2009/05/download.png" /></a><br />ปกติซอฟต์แวร์ HP Drive Key Boot Utility ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับไดรฟ์ของ HP เท่านั้น แต่มันดูเหมือนว่าจะสามารถใช้ฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในท้องตลาด ได้ด้วย แม้แต่การ์ดหน่วยคว่อมามจำของกล้องดิจิตอล ก็เก็บมาฝากกันเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแก้ปัญหาเท่านั้น ซึ่งหากมันใช้ได้กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในลักษณะนี้อยู่ ก็น่าจะเป็นการดียิ่ง แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้เจอปัญหานี้ อย่างน้อยที่สุด คุณผู้อ่านก็ได้ทราบว่า ปัญหานี้ยังมีโอกาสแก้ไขได้เหมือนกัน ขอให้โชคดีนะครับ<br />(ข้อมูลจาก : <a href="http://www.arip.co.th/" target="_blank"><span style="color: rgb(128, 0, 128);">www.arip.co.th</span></a> )freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-43094180000524907962009-07-07T00:23:00.000-07:002009-07-07T00:31:49.341-07:00Microsoft เผยราคา Windows 7 ให้เราเตรียมตังค์ใว้<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJvG0KtH4X4CqRvHzsmDcSRwnijxMoBIXJ6hsFqdO4lTZkH0DSYRN87OwmnH_euZ_z0vPvcJ5dcKgd5cg39RglmQGaiLg9nbrc8kZjS_s4niVJG7Gif1myytm-C8aB0tFNvDwjYjroSO_q/s1600-h/1111.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 175px; height: 91px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJvG0KtH4X4CqRvHzsmDcSRwnijxMoBIXJ6hsFqdO4lTZkH0DSYRN87OwmnH_euZ_z0vPvcJ5dcKgd5cg39RglmQGaiLg9nbrc8kZjS_s4niVJG7Gif1myytm-C8aB0tFNvDwjYjroSO_q/s320/1111.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5355616494974384178" border="0" /></a><br />ไมโครซอฟท์ได้เปิดเผยราคาจำหน่าย Windows 7 ทั้งเวอร์ชั่น Home Premium , Professional และ Ultimate แล้ว<br />ไมโครซอฟท์ ได้เปิดเผยราคาจำหน่าย Windows 7 ทั้งเวอร์ชั่น Home Premium , Professional และ Ultimate แล้ว โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคมเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษก่อน ส่วนเวอร์ชั่นภาษาไทยจะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 31 ตุลาคมนี้<br />แต่ สำหรับผู้ที่ซื้อ Windows Vista มาตั้งแต่ก่อนวางจำหน่าย Windows 7 ไม่นาน (คาดว่าประมาณ 2 เดือนก่อนวางจำหน่ายจริง) สามารถนำไปอัพเกรดเป็น Windows 7 ได้ฟรีที่ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนราคาของ Windows 7 ทั้ง 3 เวอร์ชั่นมีดังนี้<br /><span style="color: rgb(51, 51, 255);">Home Premium - 199.99 $ (Full) 119.99 $ (Upgrade) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,800 และ 4,100 บาท ตามลำดับ</span> <span style="color: rgb(51, 51, 255);">Professional - 299.99 $ (Full) 199.99 $ (Upgrade) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 10,000 และ 6,800 บาท ตามลำดับ</span> <span style="color: rgb(51, 51, 255);">Ultimate - 319.99 $ (Full) 219.99 $ (Upgrade) หรือที่สนนราคาเงินไทยก็ประมาณ 11,000 และ 7,500 บาท ตามลำดับเท่านั้น</span><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJcsKz4KMbzHKQ7FSmwR8RKQ8d5HPVnGSoa0iblkTVHEUIWp7XW0EppvnGUzNDMvOf_VJKT2gsuWpbBt1xBBHX2A_kwawT86nQGt-ptnPXkWqvU__UW6sJzWtkFcie-4QjVfEoPkx5K7G3/s1600-h/22222.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJcsKz4KMbzHKQ7FSmwR8RKQ8d5HPVnGSoa0iblkTVHEUIWp7XW0EppvnGUzNDMvOf_VJKT2gsuWpbBt1xBBHX2A_kwawT86nQGt-ptnPXkWqvU__UW6sJzWtkFcie-4QjVfEoPkx5K7G3/s320/22222.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5355616730001150146" border="0" /></a><br />เห็นราคาจำหน่ายกันแล้วก็เก็บตังค์ซื้อซอฟแวร์ลิขสิทธิ์ของแท้กันเถอะนะครับ ส่วนผมขอใช้รุ่นทดลอง RC ไปก่อนละกัน....<br /><a href="http://thaitipcom.blogspot.com"> Tip computer Tip notebook </a><br /><a href="http://freewaregram.blogspot.com">AllPrograms AllDownload</a>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-4920825097582235403.post-19012508131412260752009-07-07T00:14:00.000-07:002009-07-07T00:23:04.952-07:00Tip การใช้งาน Notebookการดูแลรักษาและวิธีแก้ปัญหา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPaXWtMyUALIjM07zmDyvaWugNS464q8A3dwJiuiVgO-Ta2WkMEXdQg5jr1e9RBTGURbaPgFUvKqi-ST3v8srz7bV-6M4skUbejb55kGzaZPvykd6ku3BC7GJUS5zQ3NqH1rljNmhQOsx5/s1600-h/acer_3935_01.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 320px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPaXWtMyUALIjM07zmDyvaWugNS464q8A3dwJiuiVgO-Ta2WkMEXdQg5jr1e9RBTGURbaPgFUvKqi-ST3v8srz7bV-6M4skUbejb55kGzaZPvykd6ku3BC7GJUS5zQ3NqH1rljNmhQOsx5/s320/acer_3935_01.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5355615343180088402" border="0" /></a><br /><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" ><span style="color: rgb(51, 51, 255);">>> ใช้งานโน้ตบุ๊กให้ถูกสถานที่</span></span><br />โน้ตบุ๊กควรใช้ในสถานที่ที่มีการถ่ายเทของอากาศที่ไหลเวียนได้สะดวก และการวางโน้ตบุ๊กไม่ควรวางบนพื้นที่มีความนุ่ม เพราะจะทำให้ไปปิดบังช่องระบายความร้อนใต้เครื่องได้ มีผู้ใช้บางกลุ่มนิยมนำโน้ตบุ๊กไปใช้บนที่นอน ซึ่งไม่ควรทำ เพราะที่นอนมีความนุ่มเวลาวางโน้ตบุ๊กลงไป พื้นด้านล่างจะแนบชิดไปกับที่นอนทั้งหมด ไม่มีช่องระบายความร้อน ซึ่งอาจจะส่งผลให้โน้ตบุ๊กเกิดความร้อนสูง จนแฮงค์และไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้โน้ตบุ๊กในบริเวณที่มีฝนตก หรือมีความชื้นสูงๆ เพราะจะส่งผลต่อ อุปกรณ์ต่างๆ ภายใน<br /> <span style="font-weight: bold;font-size:130%;" ><span style="color: rgb(51, 51, 255);">>> การชาร์จแบตเตอรี่</span></span><br /> ผู้ใช้ควรอ่านคำแนะนำในการชาร์จแบตเตอรี่ในคู่มือที่มีมาให้ทุกครั้ง โดยเฉพาะการชาร์จไฟครั้งแรก ซึ่งจะต้องชาร์จนานกว่าปกติ หลังจากนั้นก็สามารถชาร์จไฟใหม่ได้ถึงแม้ว่าใช้งานแบตเตอรี่ยังไม่หมด มีผู้ใช้หลายท่านให้ข้อคิดเห็นว่า เวลาเสียบปลั๊กใช้งาน ซึ่งแบตเตอรี่เต็มแล้ว ไม่ควรจะใส่แบตเตอรี่เอาไว้ในเครื่อง เพราะจะทำให้ เกิดความร้อน และแบตเตอรี่เสื่อมเร็ว จริงๆ แล้วก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง การใส่แบตเตอรี่ค้างเอาไว้ขณะเสียบปลั๊กใช้งานก็เป็นการป้องกันเรื่องของไฟ ดับกะทันหันได้เช่นกัน เพราะถ้าเกิดไฟดับกระทันหัน จะส่งผลโดยตรงต่อฮาร์ดดิสก์ภายในเครื่อง ซึ่งอาจจะเสียหายได้ทันที โดยปกติแล้วแบตเตอรี่ก็มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยที่ 2 ถึง 3 ปี ตามแต่ลักษณะของการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งก็คงต้องใช้งานให้ถูกวิธีครับ จะช่วยยืด เวลาให้ยาวนานขึ้นไปได้อีกการสำรองข้อมูล<br /> เนื่องจากโน้ตบุ๊กออกแบบมาเพื่อการพกพา ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการกระทบ หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะค่อนข้างสูง ดังนั้นควรจะมี การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญ ซึ่งปัจจุบันโน้ตบุ๊กจะติดตั้งคอมโบไดรฟ์มาให้อยู่แล้ว ดังนั้นการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดีน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากที่สุด ครับ ในการสำรองข้อมูลก็ สามารถใช้คำสั่ง Backup ใน Windows XP จัดการได้เลย เข้าไปที่เมนู Start => Programs => Accessories => System => Backup แล้วทำตามขั้นตอนต่างๆ ที่มีหน้าจอแสดงขึ้นมาแนะนำ<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> การทำความสะอาดโน้ตบุ๊ก</span><br /> การทำความสะอาดควรใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดโดยรอบตัวเครื่อง ยกเว้นจอภาพที่ควรจะใช้ผ้าหรือวัสดุที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ จัดการทำความสะอาด ส่วนตรงคีย์บอร์ดที่มักจะมีฝุ่น หรือเศษผงติดเข้าไปด้านใน ไม่ควรใช้วิธีการเป่า แต่ควรใช้วิธีการดูด อาจจะดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่นเพื่อช่วยทำความสะอาดก็ได้เช่นกัน<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> หลีกเหลี่ยงไม่ให้โดนกระแทก</span><br /> เวลาพกพาโน้ตบุ๊กไปใช้งานตามที่ต่างๆ ควรจะมีการระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเกิดไปกระแทกกับวัสดุอื่นๆ แล้วจะเกิดการ เสียหายที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจอภาพที่มีความบอบบางเป็นพิเศษ ทุกครั้งก่อนนำไปใช้งาน ควรนำใส่กระเป๋าที่ออกแบบมาเพื่อใส่โน้ตบุ๊กโดยเฉพาะเพราะด้านในจะมีการบุ ด้วยวัสดุกันกระแทก เวลาเกิดไปกระแทกโดย ไม่ตั้งใจ วัสดุเหล่านั้นจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> อ่านคู่มือก่อนการใช้งาน</span><br /> ก่อนการใช้งานทุกครั้ง ผู้ใช้ควรทำความรู้จักโน้ตบุ๊กที่กำลังจะใช้งานให้มากที่สุด ด้วยการอ่านคู่มือ และคำแนะนำต่างๆ เพื่อการใช้งาน ได้อย่างถูกต้อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว ปกติแล้วคู่มือจะแจ้งรายละเอียดของอุปกรณ์ทุกๆ อย่าง ตำแหน่งของพอร์ต และอุปกรณ์ คำเตือนและคำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเบอร์โทรสำหรับติดต่อ สอบถามเมื่อโน้ตบุ๊กเกิดปัญหา<br />——————————————————————————–<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:180%;" >:: การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ::</span><br /><br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> เปิดเครื่องไม่ติด</span><br /> เริ่มต้นจากการตรวจสอบไฟแสดงสถานะเปิดเครื่องก่อนว่าติดหรือไม่ จากนั้นให้ดูว่าแบตเตอรี่เหลือน้อย หรือหมดแล้วหรือยัง แล้วจึงเสียบปลั๊ก แล้วลองกดปุ่มเปิดใช้งาน ถ้ากดปุ่มเปิดแล้วยังไม่ติด ให้ลองดูว่าคุณเสียบปลั๊กทุกๆ จุดดีแล้วหรือยัง ทั้งที่โน้ตบุ๊ก และช่องเสียบปลั๊กไฟ ถ้าตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ยังเปิดไม่ติดให้รีบติดต่อไปยังศูนย์บริการทันที<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> จอภาพมีจุดสีสว่าง</span><br /> จอภาพโน้ตบุ๊กอาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Dead Pixel หรือ Bright Dot ขึ้น อันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดในกระบวนการผลิตจอแอลซีดี ซึ่งเมื่อเกิดแล้ว คุณควรจะตรวจสอบก่อนว่ามีจำนวนจุดสีที่ผิดปกตินี้กี่จุด แล้วให้ติดต่อศูนย์บริการว่าสามารถเปลี่ยนหรือแก้ไขได้หรือไม่ ปกติแล้วจะมีข้อกำหนดเอาไว้ว่า หากมี Dead Pixels จำนวนกี่จุด ถึงจะเปลี่ยนได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 จุดขึ้นไป ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ควรจะสำรวจจอแอลซีดีก่อนรับเครื่องทุก ครั้งครับ<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> จอภาพแสดงตัวอักษรเบลอ</span><br /> เกิดมาจากการปรับความละเอียดของจอแอลซีดีไม่ตรงตามสเปกที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของจอแอลซีดีที่เราต้องปรับความละเอียดให้ตรง เพราะว่าจอแอลซีดีจะระบุจำนวนพิกเซลที่เอาไว้แสดงทั้งแนวตั้งและแนวนอนเอา ไว้ หากปรับไม่ตรง จอภาพจะต้องมีการนำจุดสีหลายๆ จุดมาแสดงเป็นจุดเดียว ทำให้ภาพเกิดความเบลอ ปกติแล้วทั่วๆ ไปจะปรับตั้งกันไว้ที่ 1024×768 พิกเซล สามารถเข้าไปปรับได้ที่ Start => Settings => Control Panel => Display คลิ้กที่แถบ Settings แล้วเลือกปรับความละเอียดได้เลยครับ<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> จอภาพแสดงตัวอักษรเบลอ</span><br /> เกิดมาจากการปรับความละเอียดของจอแอลซีดีไม่ตรงตามสเปกที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของจอแอลซีดีที่เราต้องปรับความละเอียดให้ตรง เพราะว่าจอแอลซีดีจะระบุจำนวนพิกเซลที่เอาไว้แสดงทั้งแนวตั้งและแนวนอนเอา ไว้ หากปรับไม่ตรง จอภาพจะต้องมีการนำจุดสีหลายๆ จุดมาแสดงเป็นจุดเดียว ทำให้ภาพเกิดความเบลอ ปกติแล้วทั่วๆ ไปจะปรับตั้งกันไว้ที่ 1024×768 พิกเซล สามารถเข้าไปปรับได้ที่ Start => Settings => Control Panel => Display คลิ้กที่แถบ Settings แล้วเลือกปรับความละเอียดได้เลยครับ<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> ตัวอักษรที่แสดงมีขนาดเล็กเกินไป</span><br /> จากข้อจำกัดในการปรับความละเอียด ทำให้บางครั้งตัวอักษรที่แสดงเล็กเกินไป จะมีปัญหากับผู้ที่สายตาสั้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ใน Windows เราสามารถปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ได้ครับเข้าไปที่ Start => Settings => Control Panel => Display คลิ้กที่แถบ Appearance แล้วปรับขนาดที่ Font ด้านล่าง ให้เป็น Large Fonts หรือ Extra Large Fonts<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> ต่อโน้ตบุ๊กเข้ากับทีวี แล้วไม่มีภาพ</span><br /> ก่อนจะไปปรับให้แสดงภาพไปยังทีวี ผู้ใช้ควรเชื่อมต่อสายระหว่างทีวีกับ S-Video พอร์ตเสียก่อน แล้วค่อยเปิดโน้ตบุ๊ก จากนั้นก็ไปปรับให้แสดงผลได้ใน Display Properties<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> ลำโพงไม่มีเสียง</span><br /> ให้เข้าไปตรวจสอบว่าได้ไปปิดเสียงเอาไว้หรือเปล่า อาจจะกดปุ่มเปิดเสียงจากคีย์บอร์ด หรือว่าเข้าไปที่ Start => Settings => Control Panel => Sound and Audio Devices ตรงส่วนของ Devices Volume นั้นจะต้องไม่มีเครื่องหมายถูกที่หน้า Mute ถ้ามีให้คลิ้กเพื่อเอาออก ในบางกรณีอาจจะเกิดจากการหลงลืมของผู้ใช้เอง บางครั้งอาจจะเสียบหูฟังคาเอาไว้ หรือว่าเสียบแจ็คลำโพงภายนอกอยู่ ทำให้ไม่มีเสียงออกมาที่ลำโพงของตัวโน้ตบุ๊ก ก็คงต้องบอกว่าตรวจสอบให้ดีก่อนนะครับ<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> เครื่องหยุดทำงาน (แฮงค์) บ่อยมากๆ</span><br /> ปกติอาการเครื่องแฮงค์มักจะมาจากเรื่องของความร้อน เพราะถ้าร้อนมากๆ ซีพียูและอุปกรณ์ต่างๆ มักจะหยุดการทำงาน ตรงจุดนี้เอง อาจจะมาจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การวางโน้ตบุ๊กในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก การวางโน้ตบุ๊กในตำแหน่งที่มีการปิดบังช่องระบายความร้อน เป็นต้น<br /> นอกจากนี้อาจจะมีจากความผิดปกติของระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งคงต้องตรวจสอบไปทีละอุปกรณ์ หรือถ้าไม่มี ความรู้ในการตรวจสอบสามารถเลือกที่จะนำไปรับบริการที่ศูนย์บริการได้<br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 51, 255);font-size:130%;" >>> เครื่องทำงานช้า</span><br /> ปกติเมื่อเราใช้งานไปสักระยะเครื่องมักจะทำงานช้าลง เพราะว่าเราได้ติดตั้งโปรแกรมต่างๆ หรือมีการบันทึกไฟล์ต่างๆ เข้าไปเป็นจำนวนมาก เวลาเรียกเพื่อเปิดใช้งานจะต้องใช้เวลาค้นหาเพื่อเปิดอ่านข้อมูลที่นานขึ้น เพราะไฟล์ต่างๆ อาจจะมีการจัดเก็บที่ค่อนข้างกระจัดกระจาย การจัดเรียงข้อมูลต่างๆ ให้เป็นระเบียบจะช่วยให้การใช้งานในส่วนต่างๆ ทำได้เร็วขึ้น ซึ่งก็คือการ Defragment นั่นเอง ให้เข้าไปที่ Start => Programs => Accessories => System Tools => Disk Defragmenter แล้วจัดการเรียงข้อมูลต่างๆ ให้เรียบร้อย..<br /><br /> นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เครื่องทำงานได้ช้า ก็อาจจะมาจากการที่ผู้ใช้เรื่องติดตั้งโอเอส หรือโปรแกรมใหม่ๆ ที่โน้ตบุ๊กไม่สามารถรองรับได้ ทำให้การทำงานต่างๆ ช้าไปหมด อาจจะแก้ปัญหาด้วยการซื้อเครื่องใหม่ หรือว่าจะอัพเกรดอุปกรณ์บางอย่าง เช่น ซีพียู หน่วยความจำ หรือฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูงขึ้น<br /><a href="http://thaitipcom.blogspot.com/"> Tip computer Tip notebook </a><br /><a href="http://freewaregram.blogspot.com/">AllPrograms AllDownload</a>freewearghttp://www.blogger.com/profile/17907821979950452033noreply@blogger.com